ชื่อผลงานแนวทางในการนำ Reflective Thinking มาใช้พัฒนาการเรียนการสอนภาคทฤษฎีและปฏิบัติ

ชื่อเจ้าของผลงาน อ.ดร.ดุจเดือน เขียวเหลือง  สังกัดวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์

เบอร์โทร. 0818887003   E-mail. dujduean@unc.ac.th

1. ความเป็นมาและความสำคัญของวิธีหรือแนวทางปฏิบัติที่ดี / ที่เป็นเลิศ (บริบทขององค์กรความจำเป็น/ความท้าทาย/สภาพปัญหาของการดำเนินการ/สิ่งที่จะพัฒนาตอบสนองหรือสอดคล้องกับความต้องการชองกลุ่มเป้าหมาย องค์กรและชุมชน

จากการนำ Reflective Thinking มาใช้พัฒนาการเรียนการสอนเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจด้านผลิตบัณฑิต นั้นได้นำไปใช้ทั้งหมด 4 ราย วิชา การพัฒนากระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ สารสนเทศทางการพยาบาล การสอนและการให้การปรึกษาทางสุขภาพ ปฏิบัติมารดา  ทารกแรกเกิด และการผดุงครรภ์ 2 ปฏิบัติการสุขภาพจิตและการพยาบาลจิตเวช จากสภาพปัญหาที่พบ พบผู้เรียนเขียนรายงานการสะท้อนคิดมาในรูปแบบเดียวกัน เหมือนปฏิบัติตามกันมา จึงทำให้ไม่เกิดการเรียนรู้จากการสะท้อนคิดที่แท้จริง ปัญหาอุปสรรคที่พบคือ active  listening  น้อย ขาดการฟังอย่างตั้งใจ โดยมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามามีอิทธิพลความเป็นมาทำให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้จากการสะท้อนคิดที่ไม่จริงหรือการสะท้อนคิดเชิงวิชาการไปมากกว่า สะท้อนคิดได้จริง ความแตกต่างระหว่างผู้สอนและพื้นฐานของผู้เรียนแต่ละคนถ้าปิดกั้นก็จะไม่ทำให้เกิดการสะท้อนคิดได้ จำนวนผู้เรียนในกลุ่มมีจำนวนมาก ทำให้บริบทที่ทำให้เกิดการสะท้อนคิดเป็นไปได้ไม่ค่อยจริง ผู้เรียนได้เขียนสะท้อนคำที่เป็นความรู้สึกต่างๆ แต่บรรยายความรู้สึกไม่ได้ ขั้นตอนที่ 1 อธิบายผู้เรียนได้อธิบายเหตุการณ์คล้อยตามกันทุกคน และอ่านสถานการณ์โดยนำมาเล่าและสรุปประเด็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่ครบ เพื่อความจำเป็นต้องการเตรียมและพัฒนาที่นำมาทดลองใช้ในวิชา การพัฒนากระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ ของนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปี 1 ภาคทดลอง ปีนี้มีจำนวนนักศึกษา อยู่ 120 คน โดยนำการเรียนรู้แบบสะท้อนคิด (Reflective thinking) มาหาแนวทางร่วมกันที่จะนำไปใช้ในการเรียนการสอนในวิชาการพัฒนากระบวนการคิดอย่างเป็นระบบภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จึงจำเป็นต้องมีการจัดการองค์ความรู้ด้าน Reflective learning ให้แก่ผู้เรียนเพื่อพัฒนาหรือวิธีแนวทางปฏิบัติที่ดีที่เป็นเลิศให้สอดคล้องกับพันธกิจด้านผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพและประชาชน ชุมชนที่ปลอดภัยยั่งยืน

2. วัตถุประสงค์ (จุดมุ่งหมายของการดำเนินการ  ควรกำหนดให้เป็นข้อ ต้องเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริง วัดและประเมินได้)

1.เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนในวิชาการพัฒนากระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ ความพร้อมในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการทำงานเป็นทีม จากการใช้วิธีการเรียนการสอน Reflective thinking

2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความพร้อมในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการทำงานเป็นทีม ระหว่างกลุ่มที่เรียนแบบบรรยายและกลุ่มที่เรียนแบบ Reflective thinking

3.เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนแบบบรรยาย และการเรียนการสอนแบบ Reflective thinking

3.เป้าหมาย (ตัวชี้วัดเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ)

1. ร้อยละ 80 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนในวิชาการพัฒนากระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ ความพร้อมในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการทำงานเป็นทีม จากการใช้วิธีการเรียนการสอนแบบ Reflective thinking

2. กลุ่มที่เรียนแบบ Reflective thinking มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความพร้อมในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการทำงานเป็นทีม มากกว่าร้อยละ 80

3. ความพึงพอใจของกลุ่มที่เรียนแบบ Reflective thinking มากกว่า กลุ่มที่เรียนการสอนแบบบรรยาย ร้อยละ 80

4. แนวคิด/โมเดลที่นำมาใช้ในการพัฒนาวิธี/แนวปฏิบัติที่ดี/ที่เป็นเลิศ

จากการนำแนวคิดของ reflective มาใช้ที่หลากหลายจาก Mezirow,1997 หรือแนวคิด Schon,1987 ของ Dewey,1993 ของ Gibb-cycle มาประยุกต์ใช้ และรวมถึงถ้านำการเรียนรู้แบบสะท้อนคิด (Reflective thinking) ตามแนวคิดของ อ.ดร.ดุจเดือน  เขียวเหลือง  7 ขั้นตอน

จากการจัดองค์ความรู้การจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิดในครั้งที่ผ่านมา จึงได้แนวทางในการที่จะนำการเรียนรู้แบบสะท้อนคิด (Reflective thinking) ตามแนวคิดของ อ.ดร.ดุจเดือน  เขียวเหลือง จากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์ ประกอบด้วย ๗ ขั้นตอน โดยได้นำมาเป็นแนวทางที่ชัดเจนในกระบวนการจัดการเรียนการสอน  รายวิชาการพัฒนาการคิดอย่างเป็นระบบทั้งภาคทฤษฎีและภาคทดลอง  ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ของนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปี 1 โดยได้จัดทำคู่มือสำหรับอาจารย์ในการเรียนการสอน พร้อมทั้งแนวทางการสะท้อนคิด 7 ขั้นตอนของ (ดุจเดือน เขียวเหลือง,๒๕๕๖)  ได้แก่

  1. 1. อธิบายสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้น

สามารถอธิบายสภาพและบริบทของสถานการณ์/ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน เป็นการตอบคำถามตนเองว่าเกิดอะไรขึ้น เกิดขึ้นได้อย่างไร มีผลกระทบกับใครบ้าง สามารถสรุปสาระสำคัญได้อย่างครบถ้วน และสามารถ วิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นั้นได้อย่างเชื่อมโยง

  1. 2. อธิบายความรู้สึกต่อสถานการณ์

สามารถบอกความคิดความรู้สึกของตนเองที่มีต่อสถานการณ์ในขณะนั้นได้ สามารถประเมินและสามารถวิเคราะห์ความคิดเห็นของตนเองที่มีต่อสถานการณ์นั้นได้ ทั้งด้านบวกและด้านลบ

  1. 3. บอกแนวคิด/หลักการ/ความเชื่อที่สนับสนุนการกระทำ

สามารถระบุและอธิบายปัจจัยต่างๆ เช่นแหล่งความรู้/แนวคิด/ทฤษฎี/ความเชื่อ/คุณค่าที่สนับสนุนความคิดของตนเองได้ครบถ้วนทุกด้านและสมเหตุสมผล

  1. 4. เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย

แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับบุคคลอื่นในกลุ่มได้โดยปราศจากอคติ และแสดงความคิดเห็นโต้แย้งทางวิชาการอย่างมีเหตุผล มีการค้นคว้าแหล่งความรู้  หนังสือ ตำรา งานวิจัย มาประกอบการอภิปรายอย่างลึกซึ้งและกว้างขวาง

  1. 5. จัดลำดับความคิดและสรุปแนวคิดรวบยอด

จัดระเบียบและลำดับประเภทของการรับรู้ให้เป็นหมวดหมู่เพื่อง่ายต่อการเข้าถึง และสามารถสรุปแนวคิดรวบยอดของความรู้ที่เกิดขึ้นในใจแล้วนำมาวิเคราะห์สถานการณ์ได้ดีขึ้นและทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นกว่าเดิม

  1. 6. นำข้อสรุปไปปฏิบัติ

เปรียบเทียบข้อดีและข้อด้อยและผลพวงที่อาจเกิดขึ้นของแต่ละแนวทาง และสรุปแนวทางที่เหมาะสมเพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์นั้นได้อย่างมีผลและน่าเชื่อถือ และสามารถประเมินผลลัพธ์ที่ตามมาของแนวทางนั้นได้หลากหลายแง่มุม

  1. 7. สะท้อนคิดการเรียนรู้/ประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างจากเดิม

เทียบเคียงมุมมองใหม่ (new perspective) กับความรู้ที่มีอยู่เดิม สามารถบอกความสัมพันธ์/เชื่อมโยงของความรู้ที่ได้ใหม่และความรู้ที่มีอยู่เดิม   สามารถอธิบายได้ว่าประสบการณ์ที่ได้รับในครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงตนเองด้านความรู้อย่างไร  สามารถอธิบายได้ว่าประสบการณ์ในครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงตนเอง  ด้านความคิด ความเชื่อ คุณค่า และจริยธรรมในวิชาชีพอย่างไร

5. ขอบเขตและระยะเวลาดำเนินการ

กิจกรรมการดำเนินงานวิจัย ระยะเวลาดำเนินการวิจัย
ต.ค64 พ.ย64 ธ.ค. 64 ม.ค64 ก.พ64 มี.ค64 เม.ย64 พ.ค 64 มิย. 64 ก.ค64 ส.ค64 ก.ย.64
1.การทบทวนวรรณการดำเนินโครงการจัดการความรู้การจัดการเรียนการสอนแบบTransformative Learning โดยเน้น   Reflective Learning

2.เสนอโครงการจัดการความรู้การจัดการเรียนการสอนแบบTransformative Learning โดยเน้น   Reflective Learningและนำเสนอ

3. สร้างเครื่องมือ

4.ทดลองใช้เครื่องมือและเก็บข้อมูล

5.วิเคราะห์ข้อมูล

6.สรุปและอภิปรายผล

7.ตีพิมพ์เผยแพร่งานวิจัย

6. กระบวนการที่ทำให้เกิดวิธี/แนวปฏิบัติที่ดี/ที่เป็นเลิศ

6.1 การสร้างและแสวงหาความรู้

เพื่อที่จะได้พัฒนาเป็น Model หรือเตรียมทั้งผู้เรียนและเตรียมทั้งผู้สอน

  1. ต้องมีการเตรียมและพัฒนาคุณลักษณะครู How to be reflective teacher
  2. ต้องมีการเตรียมและพัฒนาคุณลักษณะนักศึกษา How to be reflective learner

3.  สร้างสิ่งแวดล้อม จัดสภาพบริบทให้ส่งเสริมการเรียนรู้จากการสะท้อนคิด

คุณสมบัติผู้สอน คุณสมบัติผู้เรียน การจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
1. เปิดใจกว้าง ไม่มีอคติ

2. ตั้งคำถามชวนคิด

3. ฟังอย่างตั้งใจ

4. คิดเป็น concept

5. ยืดหยุ่น

6. จริงใจ ตรงไปตรงมา

7. ให้กำลังใจ

8. Feed back เร็ว

1. ช่างสังเกต ไวต่อบริบท

2. เข้าใจตนเอง ซื่อสัตย์กับความรู้สึก

3. กล้าหาญในการบอกความเชื่อของตน

4. ฟังอย่างตั้งใจ เปิดใจกว้าง

5. คิดเป็นระบบ (ยากมาก)

6. ใช้ความเป็นเหตุผล เรียนรู้

7. ประเมินตนเองได้

1. จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่เอื้อต่อคุณลักษณะของผู้เรียน

2. ให้นักศึกษาได้ทำกิจกรรมที่ฝึกให้มีความ “กล้าคิด”

3. จัดสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนแบบสะท้อนคิดเช่น หนังสือ สื่อ แหล่งความรู้ภายนอก ฯลฯ

6.2 การจัดระบบขององค์ความรู้

การสะท้อนคิดที่ดีก็จะแตกต่างกันออกไป

ขึ้นอยู่กับคุณลักษณะของนักศึกษาควรมีดังต่อไปนี้

๑. นักศึกษาควรมีลักษณะช่างสังเกต ไวต่อบริบทและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง

๒. นักศึกษาควรมีเข้าใจตนเอง ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเองและต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

๓. นักศึกษาควรมีพื้นฐานความรู้ ความกล้าหาญในการบอกความเชื่อของตน

๔. นักศึกษาควรมีฟังอย่างตั้งใจ เปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และใคร่ครวญตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

๕. นักศึกษาควรคิดเป็นระบบ ซึ่งเป็นข้อที่สร้างได้ค่อนข้างยาก

๖. นักศึกษาควรฝึกใช้ความเป็นเหตุผล เรียนรู้ให้เป็นเหตุเป็นผล

๗. นักศึกษาควรประเมินตนเองให้ได้โดยการฝึกคิดในการเปรียบเทียบจากประสบการณ์หรือเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา กับเหตุการณ์ปัจจุบันว่ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง นักศึกษาได้รับประสบการณ์ใหม่ในประเด็นใดบ้างทั้งด้านความรู้ ความคิด และความเชื่อและควรมีแบบวัดหรือประเมินคุณสมบัติผู้เรียน วัดคุณสมบัติทั้ง ๗ ข้อใน ๑ แบบประเมิน เพื่อที่จะได้พัฒนาเป็น Model หรือเตรียมทั้งผู้เรียนและเตรียมทั้งผู้สอน

ดังนั้นการที่จะ reflection ได้ดีควรมีการเตรียมและมีการใช้กลยุทธ์ ดังต่อไปนี้

6.3 การประมวลกลั่นกรองตรวจสอบองค์ความรู้

.         รายงานการประชุมการจัดการความรู้  เรื่อง การจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิดวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๓๐-๑๕.๐๐ น. ณ ห้องประชุมท่าเหนือ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี  อุตรดิตถ์

6.4 การดำเนินการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเผยแพร่

รายวิชาสารสนเทศทางการพยาบาล การสอน และการให้การปรึกษาทางสุขภาพ สำหรับนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 2 (อาจารย์จิระภา  สุมาลี)  ใช้ในภาคทดลองหัวข้อการสอนทางสุขภาพในโครงการบูรณาการการจัดการเรียนการสอนกับการบริการวิชาการ การวิจัย การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมไทย และการสร้างเสริมสุขภาพ  โดยนักศึกษามีบทบาทในการให้ความรู้ทางสุขภาพเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพแก่นักเรียนชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเทศบาลวัดหนองผา หลังจากจัดกิจกรรมให้ความรู้ อาจารย์ได้พบกับนักศึกษาและพูดคุยถึงกิจกรรม การเรียนดังกล่าว โดยใช้คำถามสะท้อนคิดและให้นักศึกษาเขียนบันทึกสะท้อนคิดเกี่ยวกับกิจกรรมที่ลงไปปฏิบัติ

หลังจากการใช้ประเด็นคำถามเพื่อสะท้อนคิดนั้น นักศึกษาได้มีโอกาสในทบทวนตนเอง ทั้งในด้านการตระหนักรู้ในตนเองและบทบาทของพยาบาลวิชาชีพ ซึ่งผลการประเมินจากการเขียนบันทึกส่วนใหญ่พบว่า นักศึกษาได้เรียนรู้และได้รับประสบการณ์ตรงจากการปฏิบัติจริงนอกเหนือจากการเรียนรู้ในห้องเรียน และในขณะเดียวกันนักศึกษาก็ได้พัฒนาตนเองไปด้วย เช่น ความรับผิดชอบในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การกล้าแสดงออกในทางที่ถูกต้อง การเข้าสังคม การทำงานเป็นทีม และการได้แสดงถึงศักยภาพของตนเองให้ผู้อื่นได้รับรู้ ส่วนในด้านของบทบาทของพยาบาลวิชาชีพนั้น นักศึกษายังต้องพัฒนาตนเองในการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จะนำไปเผยแพร่และต้องประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะของกลุ่มผู้รับบริการ จากการใช้ประเด็นคำถามในการสะท้อนคิดในมุมมองของอาจารย์ผู้สอนสามารถกระตุ้นให้นักศึกษาได้ทบทวนถึงสิ่งที่ตนเองได้ลงมือปฏิบัติ ทำให้นักศึกษาได้แนวทางในการพัฒนาตนเองรวมถึงด้านวิชาชีพ ในส่วนที่นักศึกษาปฏิบัติดีอยู่แล้ว อาจารย์มีบทบาทในการให้แรงเสริมเพื่อให้สมรรถนะนั้นยังคงอยู่หรือดีขึ้น และในส่วนที่นักศึกษาต้องปรับปรุงหรือพัฒนา อาจารย์มีบทบาทในการใช้คำถามกระตุ้นเพื่อให้นักศึกษาทบทวนและเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้พูดถึงปัญหาหรืออุปสรรคเพื่อให้เกิดพัฒนาตนเองและการเรียนรู้ต่อไป

ประสบการณ์ การนำ Reflective ไปใช้

โดย อ.ดร. สุดารัตน์  ไชยประสิทธิ์  9 กุมภาพันธ์ 2564

1. รายวิชา ป.มารดา ทารกแรกเกิดและการผดุงครรภ์ 2

2. หัวข้อ การเขียนรายงานสะท้อนคิด (Reflective Journal Writing) ประสบการณ์การฝึกภาคปฏิบัติ

3. กระบวนการนำไปใช้

เขียนรายงานสะท้อนคิด บอกเล่าเหตุการณ์ ความรู้สึก สิ่งที่ได้เรียนรู้ ในมุมมองของนักศึกษา ตามกรอบ 7 ขั้นตอน สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ส่งภายในวันที่ 3 ของการฝึกปฏิบัติการ  ในแต่ละสัปดาห์

4. ผลประเมิน

-นักศึกษาบางส่วน ที่เขียนแสดงถึงความรู้สึกแท้จริงของตน ส่วนใหญ่ แสดงความเห็นถึงความไม่พร้อมของตนเองด้านความรู้ ความมั่นใจ ทำให้ได้ทราบถึง ความคาดหวังของนักศึกษาในการขึ้นฝึกปฏิบัติ  “อยากได้เคสทำคลอด” , ความภูมิใจในตัวเองของนักศึกษา ทำคลอดมารดาทารกปลอดภัย , พัฒนาการการเรียนรู้  “ทำให้เข้าใจสิ่งที่เรียนมา, ปัญหาของนักศึกษาในการขึ้นฝึกปฏิบัติ  ขาดความมั่นใจ…”

-มีส่วนน้อย ที่เขียนแสดงความรู้สึกของตนตามที่เป็นจริง แสดงถึงด้านคุณธรรม จริยธรรม, การทำงานร่วมกัน ที่พบคือ ความคิดแวปแรกที่ไม่ดีต่อพฤติกรรมของผู้รับบริการ,  ความรู้สึกต่อเพื่อนที่เอาเปรียบในการเก็บประสบการณ์และการทำงานร่วมกัน กรณีดังกล่าว จะมีการเชื่อมโยงไปสู่การไตร่ตรอง วิเคราะห์ เหตุผล ความเหมาะสมของการคิดด้านคุณธรรม จริยธรรม และลงข้อสรุปในสิ่งที่พึงกระทำตามบทบาทวิชาชีพ

ปัญหาที่พบ

  1. ส่วนใหญ่เขียนลักษณะบรรยายลำดับเหตุการณ์ที่เกิด ไม่แสดงความรู้สึกหรือกระบวนการเรียนรู้ของนักศึกษาต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้เชื่อมโยงไปสู่ความรู้หรือประสบการณ์เดิม
  2. บางคนเขียนสั้น มีแต่หัวข้อ ไม่มีรายละเอียด
  3. ส่งรายงานสะท้อนคิดช้า (วันสุดท้ายของการฝึก) อาจลืมความรู้สึกแท้จริงต่อเหตุการณ์ ทำให้ Feedback ขณะฝึกไม่ทัน

ปรับเพิ่มวิธีการ

  1. สอดแทรกกระตุ้นทักษะสะท้อนคิด ในกิจกรรมสนทนากลุ่มย่อยตามโอกาส โดย ให้นักศึกษาบอกเล่าสถานการณ์ ความรู้สึก
  2. ให้นักศึกษาเขียน Mind Map สรุปการเรียนรู้หลังสนทนากลุ่มย่อย เช่น การช่วยคลอดด้วยสูติศาสตร์หัตถการ

5. ข้อเสนอแนะ

1. แจ้งนักศึกษาให้ทราบเกี่ยวกับ การเขียนรายงานสะท้อนคิด ในประเด็นดังนี้

-เขียนแนวไหน/อะไร , เขียนยาวแค่ไหน (1-3 หน้า) -ส่งเมื่อไร

ใช้การ สนทนากลุ่มอย่างมีโครงสร้าง กระตุ้นการพัฒนานักศึกษาให้เกิดพฤติกรรมสะท้อนคิด

6.5   การเรียนรู้และการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ภายในหน่วยงาน

1. นำแนวปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิดไปประยุกต์ใช้ในการเขียน Reflective journal writing ในรายวิชาภาคทฤษฎี

2. นำแนวปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิดไปประยุกต์ใช้ในการเขียน Reflective journal writing ในรายวิชาภาคปฏิบัติ

3. นำแนวปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิดไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาการพัฒนาการคิดอย่างเป็นระบบทั้งภาคทฤษฎีและภาคทดลองและรายวิชาภาคปฏิบัติ

6.6 การเรียนรู้และการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ภายนอกหน่วยงาน

.-

6.7 สรุป

การเอาไปใช้มี 3 ประเด็นคือ

1.       Transformative learning :reflective thinking

2.       Deep Listening การฟัง มีหลากหลายระดับ ฝึกให้ผู้เรียน เป็นผู้ฟังที่ดี

3.       สุนทรียสนทนา  ฟังโดยไม่ตัดสิน

4.       Power Question  เครื่องมือที่จะทำกลุ่มให้กับผู้เรียน มีทักษะ Soft skill ได้  คำถามที่ย้อนกลับไปให้ได้ว่าจะทำอะไร การทำกลุ่มสะท้อน ต้องมีประเด็นที่ชูขึ้นมาเพราะถ้าเจอสถานการณ์ก็จะได้ช่วยกัน สะท้อนคิดได้จริง

7. อธิบายกระบวนการ/ขั้นตอนการดำเนินการวิธีการ/นวัตกรรมที่เป็นแนวทางปฏิบัติที่ดี/ที่เป็นเลิศ (เขียน Flow แผนภูมิของระบบ โดยใช้ System approach ประกอบด้วย Input Process Output Feedback ซึ่งควบคุมโดยวงจรคุณภาพ)

ดังนั้นการที่จะ reflection ได้ดีควรมีการเตรียมและมีการใช้กลยุทธ์ ดังต่อไปนี้

สรุปขั้นตอนการจัดการเรียนรู้แบบสะท้อนคิด

8.อธิบายคลังความรู้ที่ได้ดำเนินการ (เช่น คู่มือ/โมเดล เป็นต้น)

9. ผลการดำเนินการตามตัวชี้วัด/ผลสัมฤทธิ์/ประโยชน์ที่ได้รับ (ผลผลิต ผลลัพธ์ ผลกระทบ)

ผลลัพธ์ทักษะทางปัญญาเพิ่มขึ้นจากปีการศึกษา 2562 จากเดิม LO 3.1 mean= 3.13 (SD= 0.67), X= 3.34 (SD=.20)

3.1 สามารถสืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย วิเคราะห์ และเลือกใช้ข้อมูลในการอ้างอิงเพื่อพัฒนาความรู้และแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ LO 3.1 mean= 3.34 (SD=.20)

3.2 สามารถคิดอย่างเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ เพื่อหาแนวทางใหม่ในการแก้ไขปัญหาการปฏิบัติงานและบอกถึงผลกระทบจากการแก้ไขปัญหาได้ LO 3.2 mean= 3.51 (SD=0.14)

10. ปัจจัยความสำเร็จ (สิ่งที่ช่วยให้งานประสบความสำเร็จ)

1.       ความร่วมมือกัน ความสามัคคี และการทำงานเป็นทีมของผู้เรียน

2.       การได้รับการสนับสนุนและส่งเสริมจากอาจารย์ผู้รับผิดชอบรายวิชา อาจารย์ผู้ร่วมสอนผู้เรียนที่คอยให้คำแนะนำคอยชี้แนะ

3.       ผู้เรียนมีส่วนช่วยกันในการเสนอคิดริเริ่มสร้างสรรค์แลกเปลี่ยนเรียนรู้

4.       การปรับตัวของผู้เรียนและอาจารย์ผู้สอน

5.       ความสำคัญของลักษณะรายละเอียดของกิจกรรมที่ดำเนินการ

6.       ความตั้งใจและมุ่งมั่นของผู้สอนและความตั้งใจและมุ่งมั่นของผู้เรียน

7.       เป้าหมายในการทำงานทั้งผู้สอนและผู้เรียน

8.       จำนวนผู้เข้าร่วม และความร่วมมือของผู้สอนและผู้เรียนที่เข้าร่วม

9.       การทบทวนกิจกรรมที่ให้ความรู้แก่ผู้เรียน

11. บทเรียนที่ได้รับ (การผลิตและนำผลงานไปใช้ ข้อสังเกต/ข้อเสนอแนะ/ข้อควรระวังในการนำผลงานไปประยุกต์ใช้ แนวทางการพัฒนาเพิ่มเติมให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น)

1.       ฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง (Deep Listening) เพื่อให้ผู้เรียนที่มีหลากหลายและแต่ละระดับความแตกต่างกันระหว่างบุคคล เพื่อให้เกิดกระบวนการคิดที่ได้จากการเป็นผู้ฟังที่ดี

2.       สุนทรียสนทนา  ฟังโดยไม่ตัดสิน

3.       การใช้พลังคำถาม (Power Question)  ที่เป็นเครื่องมือจะทำให้กลุ่มผู้เรียน สามารถมีทักษะด้านความคิดอย่างละเอียดรอบคลอบ(Soft skill) และมีความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้

12. การเผยแพร่ (ร่องรอยหลักฐานการเผยแพร่ที่มีการนำไปใช้ ผลงานที่ได้รับการยอมรับ)

-