• Accessibility

    • normal big bigger

Last posts

Last Comments

Most active posts

ค้นหา

หมวดหมู่

30/08/2019

การเขียนบทความวิชาการเพื่อตีพิมพ์และการเผยแพร่

Categories: การจัดการความรู้ วพบ.อต.
Author: admin
Time: 11:49 am
Reactions :2 comments

รายงานการประชุมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง Simulation Based Learning : SBL วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๒

Categories: การจัดการความรู้ วพบ.อต.
Author: admin
Time: 11:44 am
Reactions :1 comment

วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์

รายงานการประชุมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง Simulation Based Learning : SBL

วันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๕.๐๐ – ๑๖.๓๐ น.

ณ ห้องประชุมอังศนา วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์

รายนามผู้เข้าประชุม

๑.      นายสืบตระกูล             ตันตลานุกูล                พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ

๒.      นางสาวสุปราณี            หมื่นยา                     พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ

๓.      นายภราดร                 ล้อธรรมมา                 พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ

๔.      นางสาวจิระภา             สุมาลี                       พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ

๕.      นายวีระยุทธ               อินพะเนา                  พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ

๖.      นางสาวดาราวรรณ        บุญสนธิ                    พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ

๗.      นางสาวสุกัญญา           ม่วงลี้ยง                    พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ

๘.      นายทิฐิ                     ศรีวิสัย                      พยาบาลวิชาชีพ (พกส.)

๙.      นางสายฝน                วรรณขาว                  พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ

ผู้เข้าร่วมการประชุม คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐

เปิดประชุมเวลา ๑๓.๐๐ น.

ประธานการประชุม นายสืบตระกูล   ตันตลานุกูล

วาระที่ ๑ เรื่องแจ้งเพื่อทราบ

๑. สรุปสาระสำคัญจากการประชุมโครงการ Asean Laerdal simulation user network (SUN) meeting ในวันที่ 11-14 มิถุนายน 2562 มีรายละเอียดดังนี้

๑.๑ ความสำคัญและความเป็นมาของการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง

ความสำคัญของการจัดการเรียนการสอนด้วยการใช้สถานการณ์เสมือนจริง (SBL) นั้น เนื่องจากใน ปี ค.ศ. 1920 มีการสร้างสถานการณ์เพื่อจำลองสถานการณ์ ในการฝึกฝนนักเรียนหลักสูตรการบิน และในช่วงปี ค.ศ. 1950จึงมีการนำแนวคิดนี้นำมาประยุกต์ใช้ในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพเพื่อใช้ในการฝึกฝนทักษะในการปฏิบัติงาน และต่อมาในปี ค.ศ. 1980 แนวคิดนี้จึงได้รับการพัฒนามากขึ้น เช่น การประดิษฐ์หุ่นคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการฝึกทักษะ การดูแลระบบทางเดินหายใจและการช่วยฟื้นคืนชีพ ซึ่งการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีนี้ สามารถเพิ่มสมรรถนะ (self-efficacy) ทางคลินิกของนักศึกษาในการดูแลผู้ป่วยเสมือนจริงในสถานการณ์จำลองต่างๆอย่างถูกวิธีภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย สามารถช่วยลดความวิตกกังวลของนักศึกษาก่อนการลงมือปฏิบัติงานจริงในหอผู้ป่วยได้

๑.๒. การเตรียมการจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง

ขั้นตอนของการเตรียมการ หรือ Preparing process เป็นการเตรียมความพร้อมในด้านอาจารย์ผู้สอน ผู้เรียน ทีมสนับสนุน  สื่อวัสดุ/อุปกรณ์เครื่องมือและเวชภัณฑ์ ให้สอดคล้องในการจัดการเรียนรู้ ดังนี้

๑.๒.๑ ผู้สอน (Facilitator)

ผู้สอน หมายถึง ผู้ที่มีความรู้ ประสบการณ์ในศาสตร์สาขาที่จัดการเรียนการสอน และมีทักษะการจัดการ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสาร โดยผู้สอนจะควบคุมสถานการณ์ในการฝึกปฏิบัติ และสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ของผู้เรียนในสถานการณ์จำลอง โดยผู้สอนต้องเตรียม ดังนี้

๑) ผู้สอนมีบทบาทในการพิจารณาวัตถุประสงค์การเรียน จากความต้องการจำเป็นพื้นฐาน เอกสารหลักสูตร สมรรถนะ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ แล้วนำผลการวิเคราะห์มาใช้ในการจัดกิจกรรมการสอน และออกแบบการจัดการเรียนรู้ด้วย SBL และวางแผนจัดตารางหมุนเวียนกิจกรรมของผู้เรียนในแต่ละกลุ่มให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์

๒) ผู้สอนต้องเลือกใช้สถานการณ์จำลอง หรือสร้างสถานการณ์จำลองใหม่ให้มีความเสมือนจริงให้มากที่สุดสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และเนื้อหาการเรียนรู้ rพร้อมทั้งเขียนข้อมูลในโปรแกรมควบคุมหุ่น

๓) ผู้สอนต้องพิจารณาเลือกหรือสร้างแบบประเมินผลการเรียนรู้

๔) ผู้สอนต้องเตรียมการชี้แจง/อธิบายกระบวนการดำเนินการสอนแก่ผู้เรียน บทบาทหน้าที่ของผู้เรียน ได้แก่ ผู้ดำเนินสถานการณ์ในห้องเรียนสถานการณ์จำลองและผู้สังเกตการณ์ รวมถึงการบอกวัตถุประสงค์และหัวข้อการเรียนรู้ด้วยสถานการณ์จำลอง

๑.๒.๒ ผู้เรียน (Student)

ผู้เรียน หมายถึง ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จำลอง โดยผู้เรียนมีบทบาทหน้าที่ในการศึกษาวัตถุประสงค์การเรียนรู้ของรายวิชาที่ศึกษา แบ่งกลุ่มปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย

๑.๒.๓ ทีมสนับสนุน (facilitator assistant)

ทีมสนับสนุน หมายถึง ผู้ที่ช่วยผู้สอนในการจัดเตรียมสถานการณ์ วัสดุอุปกรณ์ สถานที่ในการฝึกปฏิบัติสถานการณ์จำลอง โดยทีมนี้จะมีบทบาทในการช่วยในการจัดเตรียมและตกแต่งหุ่นจำลองให้เสมือนจริงมากที่สุด จัดสถานที่ สิ่งแวดล้อมให้เสมือนจริงมากที่สุดตามสถานการณ์ รวมถึงการช่วยผู้สอนนำข้อมูลจากสถานการณ์จำลองลงโปรแกรมควบคุมหุ่นจัดเตรียมสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ ให้สอดคล้องตามสถานการณ์ และมีความพร้อมใช้งาน

๑.๒.๔ การเตรียม สื่อวัสดุ/อุปกรณ์เครื่องมือ และเวชภัณฑ์

การจัดการเรียนรู้โดยสถานการณ์จำลอง จะต้องเตรียมความพร้อม ดังนี้

1). หุ่นมนุษย์จำลอง เป็นหุ่นที่มีสมรรถนะสูงที่สามารถตั้งค่าต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์จำลองได้

2). Computer, Internet และ Monitor เป็นเครื่องมือในการควบคุมหุ่นมนุษย์จำลองให้เป็นไปตามสถานการณ์จำลองที่กำหนด และจอ Monitor สำหรับการแสดงข้อมูลของหุ่นมนุษย์จำลอง เพื่อให้ผู้เรียนอ่าน แปลผลและวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วย

3). อุปกรณ์ วัสดุและครุภัณฑ์ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินสภาพและดูแลรักษาผู้ป่วย เช่น  อุปกรณ์เปิดทางเดินหายใจ อุปกรณ์ใส่ท่อช่วยหายใจ อุปกรณ์ดูแลการหายใจ อุปกรณ์ช่วยหายใจขั้นสูง  อุปกรณ์ดูแลระบบไหลเวียนและกระตุ้นหัวใจ อุปกรณ์ห้ามเลือด อุปกรณ์ยกและเคลื่อนย้าย และเครื่องมือตรวจอื่น ๆ  ที่เหมาะสมกับสถานการณ์จำลองที่กำหนดขึ้น

4). วัสดุและอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ใช้ทำหัตถการต่างๆ ในการดูแลรักษาผู้ป่วย เช่น Syringe เข็ม Alcohol 70 % ขวดเก็บ Specimen ชุดสวนปัสสาวะ ชุดเจาะปวด ชุด ICD ชุดล้างท้อง เป็นต้น

5). เวชภัณฑ์ ประกอบด้วย ยากิน ยาฉีด ยาพ่น ฯลฯ ซึ่งใช้ในการรักษาผู้ป่วยในแต่ละโรค

6). เวชระเบียนผู้ป่วย โดยจัดชุดเวชระเบียนให้ครบถ้วนและเสมือนจริงมากที่สุด

7). อุปกรณ์ เครื่องเขียน ควรจัดหาให้เพียงพอและเหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ปากกาสีต่าง ๆ กระดาษ

๑.๓. ขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง

การสอนสถานการณ์จำลองเสมือนจริง ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้

1) ขั้นนำ (Pre – Brief)

เป็นขั้นตอนการเตรียมการผู้เรียนก่อนเข้าสู่สถานการณ์จำลอง ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที ดังนี้

ผู้สอน ผู้เรียน
1.บอกวัตถุประสงค์ในหัวข้อที่เรียนรู้ 1. ศึกษาวัตถุประสงค์การเรียนรู้
2. ปฐมนิเทศสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ การใช้อุปกรณ์ต่างๆ ภายในห้องการสื่อสารระหว่างผู้ป่วย ญาติ ทีมแพทย์ หรือ ทีมสหสาขาวิชาชีพ 2. ศึกษาสถานที่ วัสดุอุปกรณ์ และสิ่งแวดล้อมในห้องเรียนสถานการณ์จำลอง
3. แนะนำคุณสมบัติและข้อจำกัดของหุ่นจำลองเสมือนจริง สมาชิกในสถานการณ์จำลอง และทีมผู้สอน 3. ศึกษาการทำงานของหุ่น และซักถามข้อสงสัย
4.เน้นย้ำให้ผู้เรียนนำความรู้ที่ได้เรียนมาใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล/การดูแลผู้ป่วยการทำงานเป็นทีม และหน้าที่ที่ตนเองได้รับมอบหมาย โดยให้ตระหนักเสมอว่าขณะที่ให้การช่วยเหลือผู้ป่วยผู้เรียนมีบทบาทของพยาบาลวิชาชีพการเคารพหุ่นจำลองเสมือนเป็นผู้ป่วยจริง และผู้แสดงอื่นๆในบทบาทที่กำหนด เช่น ญาติผู้ป่วย แพทย์ และเพื่อนร่วมทีม โดยให้เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
5. ชี้แจงให้ผู้เรียนแบ่งบทบาทหน้าที่ต่างๆ ที่ได้รับมอบ หมายในสถานการณ์จำลอง ข้อตกลงเบื้องต้น และการประเมินผล 5.ผู้เรียนในสถานการณ์แบ่งบทบาทหน้าที่ตามบทบาทในสถานการณ์ เช่น หัวหน้าเวร หัวหน้าทีม สมาชิกทีม
6.ให้ข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วยกับผู้เรียน 6. ศึกษาสถานการณ์

2). ขั้นปฏิบัติตามสถานการณ์ (Scenario running)

ขั้นตอนนี้ใช้เวลาในการดำเนินการประมาณ 20-30 นาที ผู้เรียนจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้เรียน และผู้สังเกตการณ์ ดังนี้

ผู้สอน ผู้เรียน ผู้สังเกตการณ์
1. สังเกต และบันทึกพฤติกรรมผู้เรียนในสถานการณ์ 1. ปฏิบัติตามบทบาทตามสถานการณ์จำลอง หรือกระบวนการให้การดูแลรักษาผู้ป่วย 1. สังเกตและบันทึกพฤติกรรมผู้เรียนในสถานการณ์
2. ให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่ผู้เรียนในสถานการณ์ต้องการตามความเหมาะสม เช่น ประวัติการเจ็บป่วย การรักษาเป็นต้น 2.มีการสื่อสารด้วยวัจนภาษาหรืออวัจนภาษาและการทำงาน
ในทีม
2. สังเกต บันทึก การสื่อสารของผู้เรียนในสถานการณ์ต่อผู้ป่วย ญาติและทีมสุขภาพ ด้วยวัจนภาษาหรือ อวัจนภาษาด้วยการเคารพศักดิ์ศรีและหัวใจความเป็นมนุษย์
3.ปรับบทบาท/ข้อมูลตามสถานการณ์ที่เหมาะสมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มากขึ้น 3. นำความรู้ของกระบวนการพยาบาล มาใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล การตัดสินใจ และการแก้ปัญหา การมีภาวะผู้นำและหัวหน้าทีม อย่างถูกต้อง เหมาะสม 3. สังเกต บันทึกกระบวนการแก้ไขปัญหาและการตัดสินใจของทีมสุขภาพ
4.กรณีผู้เรียนไม่สามารถดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม ผู้สอนควรหยุดการดำเนินสถานการณ์ชั่วคราว (Time out) เพื่อเข้าไปชี้แนะถึงแนวทางในการให้การพยาบาลที่ถูกต้อง เช่น ผู้ป่วยที่หัวใจหยุดเต้นแต่ผู้เรียนยังไม่ดำเนินช่วยฟื้นคืนชีพ หรือทำไมถึงเปลี่ยนการให้ Oxygen cannula เป็น Oxygenmask หากผู้เรียนไม่สามารถบอกได้ ต้องเสริมความรู้ให้กับผู้เรียน และที่สำคัญควรไม่ให้ผู้เรียนรู้สึกผิด และหากสถานการณ์นั้นมีการตามแพทย์แล้วแพทย์ไม่มา พยาบาลควรใช้คำถามที่ชี้นำหรือให้ข้อเสนอแนะในการแก้ปัญหา (Proactive) 4. ปฏิบัติทักษะหรือกิจกรรมการพยาบาล/การดูแลผู้ป่วยตามสอดคล้องกับปัญหาที่พบในสถานการณ์จำลองอย่างถูกต้อง เหมาะสม โดยเคารพศักดิ์ศรีและคำนึงถึงหัวใจความเป็นมนุษย์ของผู้ป่วย และทีมการพยาบาล

5. ประเมินผลการพยาบาล หรือการให้การดูแลรักษา หรือมีการรายงานทางการแพทย์อย่างเหมาะสม

4.สังเกตบันทึก พฤติกรรมทักษะปฏิบัติการพยาบาล/ดูแลช่วยเหลือตามบทบาทที่ได้รับมอบหมายเช่น Incharge nurse,Leader nurse, Medication nurse เป็นต้น
5.กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการตระหนักรู้ถึงอาการแสดงที่เปลี่ยนไปของผู้ป่วยในสถานการณ์ที่แย่ลง 6. สะท้อนความคิดภายหลังการแสดงสถานการณ์จำลอง 5. สะท้อนความคิดภายหลังการแสดงสถานการณ์จำลอง

3). ขั้นสรุปการเรียนรู้ (Debrief)

ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 30-45นาที เป็นขั้นตอนที่ให้ผู้เรียนสะท้อนคิด (Gibb’s Model) และตระหนักถึงความสำคัญของวิธีการตัดสินใจแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยเชื่อมโยงความรู้สู่การปฏิบัติในสถานการณ์จำลอง และสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์จริง

๑.๔. เครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผล การจัดการเรียนรู้โดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง

การประเมินการเรียนรู้มีหลายวิธี เช่น โมเดลของ Steinwachs, GAS และ 5’S            เป็นต้น ซึ่งแต่ละวิธีมีจุดเน้นหรือจุดเด่นที่แตกต่างกัน ผู้สอนควรพิจารณาเลือกใช้ให้เหมาะสม สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การเรียนรู้ในครั้งนั้นๆโดยให้เล่าประสบการณ์ในสถานการณ์ แสดงความรู้สึกต่อประสบการณ์ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนคิด

วาระที่ ๒ เรื่องสืบเนื่อง

๑. การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การจัดการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง ภายในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์

ความคิดเห็น : อ.สืบตระกูล ตันตลานุกูล ผ่านการอบรมหลักสูตรระยะสั้น SBL จากประเทศอังกฤษ เป็นวิทยากรด้าน SBL เป็นประธานคณะกรรมการศูนย์การเรียนรู้ทางการพยาบาล เป็นผู้ออกแบบการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ SBL มีผลงานวิจัยและบทความวิชาการรองรับเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอน               โดยใช้สถานการณ์จำลอง เช่น วิจัยเรื่อง ผลของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองต่อการพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติการรักษาพยาบาลเบื้องต้นของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์ ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์ ปีที่ ๘ ฉบับที่ ๑ ประจำเดือน มกราคม – มิถุนายน ๒๕๕๙ และบทความวิชาการ เรื่อง การพัฒนารูปแบบการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองเพื่อเพิ่มความสามารถในการรักษาพยาบาลเบื้องต้นของนักศึกษาพยาบาล ตีพิมพ์ในวารสารวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์ ฉบับพิเศษ ประจำเดือนสิงหาคม – ตุลาคม ๒๕๖๑ ซึ่งพบว่า ๑. รูปแบบการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองเพื่อเพิ่มความสามารถในการรักษาพยาบาลเบื้องต้นของ นักศึกษาพยาบาล ประกอบด้วยหลักการ จุดมุ่งหมาย การเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล  ๒. กลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการรักษาพยาบาลเบื้องต้นหลังได้รับการสอนโดนใช้ รูปแบบการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองเพื่อเพิ่มความสามารถในการรักษาพยาบาลเบื้องต้นของนักศึกษา พยาบาลหลังการสอนสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05  ๓. กลุ่มทดลอง มีคะแนนเฉลี่ยความสามารถในการรักษาพยาบาลเบื้องต้นภายหลังได้รับการสอนโดยใช้ รูปแบบการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองเพื่อเพิ่มความสามารถในการรักษาพยาบาลเบื้องต้นของนักศึกษา พยาบาลสูงกว่าก่อนการสอนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

อ.สุปราณี หมื่นยา ผ่านการอบรมหลักสูตรระยะสั้น SBL จากประเทศอังกฤษ เป็นคณะกรรมการศูนย์การเรียนรู้ทางการพยาบาล และเป็นผู้ออกแบบการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ SBL ในรายวิชา ปฏิบัติการพยาบาลพื้นฐาน

อ.ภราดร ล้อธรรมมา เป็นคณะกรรมการศูนย์การเรียนรู้ทางการพยาบาล และเป็นอาจารย์ผู้สอนที่อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ SBL

อ.ทิฏฐิ  ศรีวิสัย เป็นอาจารย์ผู้สอนที่อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ SBL

อ.สายฝน  วรรณขาว เป็นคณะกรรมการศูนย์การเรียนรู้ทางการพยาบาล และเป็นอาจารย์ผู้สอนที่อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ SBL

๒. ผลของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองเสมือนจริง

ความคิดเห็น : อ.สืบตระกูล ตันตลานุกูล พบว่า ผลของการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สถานการณ์จำลองต่อการพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติการรักษาพยาบาลเบื้องต้นของนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์ พบว่า 1. นักศึกษามีความสามารถในการปฏิบัติการรักษาพยาบาลเบื้องต้นมากขึ้นหลังจากได้รับการใช้สถานการณ์จำลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05  2. นักศึกษามีความสามารถในการปฏิบัติการรักษาพยาบาลเบื้องต้นมากขึ้นกว่านักศึกษาที่ไม่ได้รับการใช้สถานการณ์จำลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

วาระที่ ๓ เรื่องเพื่อพิจารณา

-          ไม่มี

ปิดประชุมเวลา ๑๖.๓๐ น.

นัดประชุมครั้งต่อไป

ลงชื่อ…………………………………………….ผู้บันทึกรายงานการประชุม

(นางสายฝน     วรรณขาว)

พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ

ลงชื่อ………………………………………….ผู้ตรวจสอบรายงานการประชุม

(นายสืบตระกูล ตันตลานุกูล)

พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ

27/08/2019

การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของชุมชนนักปฏิบัติ เรื่อง กระบวนการการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก Problem – Based Learning : PBL

Categories: การจัดการความรู้ วพบ.อต.
Author: Naiyana Kaewkhong
Time: 3:27 pm
Reactions :34 comments

รายงานการประชุมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของชุมชนนักปฏิบัติ

เรื่อง กระบวนการการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก Problem – Based Learning : PBL

วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์

ครั้งที่ 2/2562 วันที่ 9 กรกฎาคม 2562

ณ ห้องประชุมกลุ่มงานอำนวยการฯ/กลุ่มงานวิชาการ

รายนามผู้เข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนรู้

1. อาจารย์ ดร.นิศารัตน์            นาคทั่ง

2. อาจารย์ ดร.เสาวลักษณ์         เนตรชัง

3. อาจารย์นัยนา                   อินธิโชติ

4. อาจารย์นัยนา                   แก้วคง

5. อาจารย์อรุณรัตน์                พรมมา

6. อาจารย์วีระยุทธ                 อินพะเนา

7. อาจารย์วิภาวรรณ               นวลทอง

8. อาจารย์นันทกาญจน์            ปักษี

รายนามผู้ไม่เข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนรู้

-

ผู้เข้าร่วมประชุมคิดเป็น  ร้อยละ 100

เปิดประชุมเวลา 15.00 น.

ระเบียบวาระที่ 1 เรื่องแจ้งเพื่อทราบ

1. ประเด็นความรู้และเป้าหมายของการจัดการความรู้

วิทยาลัยฯ กำหนดให้มีชุมชนนักปฏิบัติการจัดการความรู้เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ตามประเด็นการดำเนินงานตามพันธกิจด้านการผลิตบัณฑิต ประจำปีการศึกษา 2561 โดยกำหนดประเด็นความรู้และเป้าหมายการจัดการความรู้ คือ การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning สำหรับอาจารย์พยาบาลเพื่อให้ได้มาซึ่งแนวปฏิบัติที่ดีเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสมรรถนะที่พึงประสงค์แก่นักศึกษาพยาบาลศาสตร์

2. ประเด็นความรู้และเป้าหมายของการจัดการความรู้

ชุมชนนักปฏิบัติการจัดการความรู้ด้านพันธกิจการจัดการเรียนการสอน โดยมีประเด็น คือ การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ที่มุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem based Learning [PBL]) สำหรับอาจารย์พยาบาลเพื่อให้ได้มาซึ่งแนวปฏิบัติที่ดีเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสมรรถนะที่พึงประสงค์แก่นักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ซึ่งได้ดำเนินการถอดบทเรียนเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2558 เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนและได้นำแนวทางดังกล่าวไปใช้ในรายวิชามโนมติ ทฤษฎี และกระบวนการพยาบาล เรื่อง กระบวนการพยาบาล สำหรับนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2560 และการประชุมในครั้งนี้เป็นการถอดบทเรียนเพื่อสรุปความรู้ครั้งที่ 2 คือ การนำความรู้ที่ได้จากการจัดการความรู้ที่ได้ครั้งที่ 1 (13 มีนาคม 2558) ที่เป็นลายลักษณ์อักษร (explicit knowledge) และจากความรู้ ทักษะของผู้มีประสบการณ์ตรง (tacit knowledge) ที่เป็นแนวปฏิบัติที่ดีมาใช้ในการปฏิบัติจริง และมีเวทีนำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีจากการปฏิบัติจริง จึงขอความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันเกี่ยวกับประสบการณ์ตามประเด็นดังกล่าวของขั้นตอน PBL ตามลำดับเพื่อสรุปความรู้และนำเสนอแนวปฏิบัติที่ดีจากการปฏิบัติจริงในเวทีของวิทยาลัยต่อไป

มติที่ประชุม รับทราบ

ระเบียบวาระที่ 2 รับรองรายงานการประชุม

- ไม่มี

ระเบียบวาระที่ 3 เรื่องสืบเนื่อง

- ไม่มี

ระเบียบวาระที่ 4 เรื่องแจ้งเพื่อทราบอื่นๆ

- ไม่มี

ระเบียบวาระที่ 5 เรื่องเพื่อพิจารณา

- ไม่มี

ระเบียบวาระที่ 6 เรื่องอื่นๆ

1. การจัดการความรู้ของชุมชนนักปฏิบัติ

ผู้รับผิดชอบรายวิชาได้ดำเนินการขอความร่วมมือจากอาจารย์ผู้สอนภาคทดลอง ได้ร่วมกันแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จากประสบการณ์ ความรู้ และทักษะ จากการประยุกต์ใช้แนวปฏิบัติ เกี่ยวกับ การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning โดยใช้กระบวนการ การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem Based Learning [PBL]) มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน สำหรับนักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิต ชั้นปีที่ 2 รายวิชามโนมติ ทฤษฎี และกระบวนการพยาบาล เรื่อง กระบวนการพยาบาล โดยอาจารย์ผู้เข้าร่วมได้แบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์ ความรู้ และทักษะของตนเองอย่างกว้างขวาง สามารถถอดบทเรียน ดังนี้

1.1 สรุปผลการประยุกต์ใช้แนวปฏิบัติที่ดี การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning โดยใช้กระบวนการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem Based Learning [PBL]) พบว่า ขั้นตอนการดำเนินการ ยังคงประกอบด้วย 3 ขั้นตอน 1) ขั้นเตรียมการ 2) การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (PBL) และ 3) ขั้นประเมินผล และในแต่ละขั้นตอนย่อยๆ ของขั้นตอนหลักนั้น โดยภาพรวม อาจารย์ผู้ร่วมสอนแบบ PBL เห็นว่า มีความชัดเจน เป็นแนวทางในการปฏิบัติที่ดีได้ อย่างไรก็ตาม มีรายละเอียดข้อค้นพบปลีกย่อยเพิ่มเติม ดังนี้

1) ขั้นที่ 1 : เตรียมการ พบข้อเสนอแนะที่ดีจากการปฏิบัติ คือ

- จัดทำคู่มือโดยใช้กระบวนการแบบมีส่วนร่วมของทีมผู้ร่วมสอน ทั้งนี้เพราะการมีส่วนร่วม จะช่วยสร้างความกระจ่างชัดในการกระทำ หรือเกิดความเข้าใจร่วมกันอย่างชัดแจ้ง มีทิศทาง/เข็มมุ่งเดียวกัน ทั้งแนวทางการปฏิบัติเชิงระบบและรายละเอียดปลีกย่อยในคู่มือ/การจัดการเรียนการสอนแบบ PBL ซึ่งเชื่อว่าเป็นวิธีทางหนึ่งที่นำครูเข้าสู่ความเชี่ยวชาญมีมาตรฐานในการสอน

- คู่มือสำหรับผู้เรียน ได้เพิ่มเติมแบบประเมินหรือเครื่องมือต่างๆ สำหรับประเมินผลการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้รายบท และการเรียนรู้แบบ PBL ทำให้นักศึกษามีแนวทางในการเตรียมตนเองเพื่อให้สอดคล้องกับการวัดและประเมินผล

- คู่มือสำหรับครู/ผู้สอน/ผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) ประกอบด้วย ๑) แบบประเมินหรือเครื่องมือต่างๆ สำหรับประเมินผลการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้รายบท/เนื้อหา และการเรียนรู้แบบ PBL 2) เนื้อหาสาระหลัก/ที่จำเป็น สำหรับการอธิบายเชื่อมโยงหรือตอบโจทย์ปัญหา หรือ Triggers นั้นๆ ทั้งนี้เพราะครูผู้สอนแต่ละคนย่อมมีความความรู้ ความเข้าใจ และลุ่มลึกในเนื้อหาสาระและประสบการณ์มากน้อยแตกต่างกัน ดังนั้น การที่ผู้สอนร่วมกันกำหนดเนื้อหาสาระที่จำเป็นอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และนำกลับไปอ่านหรือทบทวนอย่างจริงจัง ย่อมสร้างความเข้าใจในเนื้อหาได้ชัดเจน เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง เมื่อเข้ากลุ่มกับนักศึกษา และ 3) รายละเอียดการดำเนินกิจกรรมในแต่ละครั้ง เพื่อให้ผู้สอนมีแนวทางและหลักปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน

- โจทย์ปัญหา/สถานการณ์ (triggers) ควรเพิ่มกระบวนการการตรวจสอบคุณภาพของโจทย์ปัญหา/สถานการณ์ (triggers) โดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อสร้างมาตรฐานของเครื่องมือ สำหรับการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ

– ในเตรียมผู้เรียนนั้น ควรนำกระบวนการสร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้แบบ PBL ด้วย โดยการเน้นกระบวนการเสริมพลังการเรียนรู้ (Empowerment) แก่นักศึกษา ก่อนเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้แบบ PBL ทั้งนี้เพราะการ Empowerment จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมให้นักศึกษามีอิสระในการปฏิบัติและเรียนรู้ หรือปลดปล่อยความรู้สึกที่ถูกคุกคามจากการบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ สิ่งที่น่าเบื่อ ให้เป็นสิ่งที่ดึงดูดและน่าสนใจที่เข้าไปเรียนรู้

2) ขั้นที่ 2 : การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (PBL) โดยส่วนใหญ่ เห็นว่า มีความชัดเจน เป็นแนวทางการปฏิบัติได้ดี ไม่มีเพิ่มเติมใดๆ

3) ขั้นที่ 3 : การประเมินผล มีข้อค้นพบเพิ่ม ดังนี้

- นอกจากจะต้องประเมินตามปัจจัยที่จำเป็นต้องประเมินแล้ว (ปัจจัยที่กำหนดไว้เดิม) ควรพิจารณาให้มีการประเมินแบบครอบคลุม 360 องศา

– วิธีการวัดและประเมินผล โดยทีมผู้ร่วมสอนร่วมกำหนดวิธีการวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับรูปแบบ/กระบวนการเรียนรู้แบบ PBL ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะวิธีเชิงคุณภาพ : การสะท้อนคิด (Reflection) จากการมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้แบบ PBL ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีการที่ควรนำมาประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะรูปแบบการสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน หรือการเขียนการเรียนรู้ ภายใต้คำถามกระตุ้นหรือนำสู่กระบวนการสะท้อนคิด ทั้งนี้ วิธีการประเมินผลแบบการสะท้อนคิดนั้น จะช่วยให้ได้มาซึ่งข้อมูลเชิงคุณภาพที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุง/พัฒนากระบวนการเรียนรู้แบบ PBLและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ผ่านการถ่ายทอดจากตัวผู้เรียนรายบุคคลสู่การรับรู้ของบุคคลอื่น ซึ่งการสะท้อนคิด ทั้งรูปแบบการเขียนและการพูด จะเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นให้นักศึกษา/อาจารย์/ผู้สอนได้ทบทวนและตระหนักรู้ในความรู้สึก ความคิดของตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการตระหนักรู้ดังกล่าว จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งในความเป็นไปของเหตุการณ์ ความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม อันจะนำไปสู่การพัฒนา/ปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนแบบ PBL ให้มีคุณภาพต่อไป

1.2 สรุปผลการถอดบทเรียน และนำไปปรับปรุงแนวปฏิบัติที่ดี เรื่อง การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning โดยใช้กระบวนการการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem  Based Learning [PBL]) ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 7 มีรายละเอียด ดังนี้

แนวปฏิบัติ : การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning : กระบวนการการเรียนรู้

โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem – Based Learning : PBL)

[ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 8 : 9 กรกฎาคม พ.ศ.2562]

แนวปฏิบัติ : การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning : กระบวนการการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหา เป็นหลัก (Problem – based Learning : PBL) ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 8 ได้พัฒนาขึ้นจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคณาจารย์ชุมชนนักปฏิบัติภายใต้กระบวนการจัดการความรู้ (KM) อย่างต่อเนื่อง ภายหลังการนำไปใช้จริงในการจัดการเรียนการสอน ครั้งที่ 5 ในรายวิชา มโนมติ ทฤษฎี และกระบวนการพยาบาล เรื่อง กระบวนการพยาบาล สำหรับนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 ปีการศึกษา 2561 (หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต หลักสูตรปรับปรุง พ.ศ.2560) โดยแนวปฏิบัติฉบับปรับปรุง มีรายละเอียด ดังนี้

การจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning คือ กระบวนการหรือรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองอย่างกระตือรือร้นและใฝ่รู้ ทั้งคิด ทำ ค้นคว้า แก้ปัญหา และสร้างสรรค์การเรียนรู้อย่างอิสระ ฯลฯ โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้ช่วยเหลือเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้

การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem–based Learning : PBL) คือ วิธีการเรียนการสอนที่ใช้ปัญหาหรือสถานการณ์เป็นจุดเริ่มต้นและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความต้องการใฝ่หาความรู้เพื่อแก้ปัญหา โดยเน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้ตัดสินใจในสิ่งที่ต้องการแสวงหาและรู้จักการทำงานร่วมกันเป็นทีมภายในกลุ่มผู้เรียนโดยผู้สอนมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องน้อยที่สุด

ขั้นตอนการดำเนินการ

การดำเนินการจัดการเรียนรู้แบบ PBL แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนดังนี้

ขั้นที่ 1   :   เตรียมการ

ขั้นเตรียมการนี้ถือว่าเป็นระยะที่มีความสำคัญ ซึ่งการเตรียมการที่ดีจะช่วยให้การเรียนการสอนแบบ PBL ประสบความสำเร็จ บรรลุตามเป้าหมายและผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้              โดยการเตรียมการที่ต้องกระทำ ภายใต้การมีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งของผู้สอน ได้แก่

1. จัดทำคู่มือการเรียนการสอนแบบ PBL สำหรับครู/ผู้สอน/ผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) และผู้เรียน โดยมีหลักการ ดังนี้

1.1 คู่มือการเรียนการสอนแบบ PBL

1) คู่มือสำหรับผู้เรียน ควรประกอบด้วย 1) ขั้นตอนการเรียนรู้แบบ PBL 2) โจทย์ปัญหา/สถานการณ์ (triggers) และ 3) แบบประเมินหรือเครื่องมือต่างๆ ที่ใช้สำหรับประเมินผลการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้รายบท และการเรียนรู้แบบ PBL

2) คู่มือสำหรับครู/ผู้สอน/ผู้อำนวยความสะดวก (facilitator)  ควรประกอบด้วย 1) ขั้นตอนการเรียนรู้แบบ PBL 2) โจทย์ปัญหา/สถานการณ์ (triggers) 3) แบบประเมินหรือเครื่องมือต่างๆ สำหรับประเมินผลการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้รายบท/เนื้อหา และการเรียนรู้แบบ PBL 4) เนื้อหาสาระหลัก/ที่จำเป็น สำหรับการอธิบายเชื่อมโยงหรือตอบโจทย์ปัญหา หรือ Triggers นั้นๆ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้สอนทั้งนี้เพราะผู้สอนแต่ละคนมีความความรู้ ความเข้าใจ และลุ่มลึกในเนื้อหาสาระและประสบการณ์แตกต่างกัน ดังนั้น การที่ผู้สอนร่วมกันกำหนดเนื้อหาสาระที่จำเป็นอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และนำกลับไปทบทวนอย่างจริงจัง ย่อมสร้างความเข้าใจในเนื้อหาได้ชัดเจน เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง เมื่อเข้ากลุ่มกับนักศึกษา และ 5) รายละเอียดการดำเนินกิจกรรมในแต่ละครั้ง เพื่อให้ผู้สอนมีแนวทางและหลักปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน

1.2 กระบวนการให้ได้มาซึ่งคู่มือการเรียนการสอนแบบ PBLที่มีคุณภาพ ต้องมีจุดเน้นที่สำคัญ คือ กระบวนการจัดทำแบบมีส่วนร่วมของทีมผู้ร่วมสอน ทั้งนี้เพราะการมีส่วนร่วมจะช่วยสร้างความกระจ่างชัดในการกระทำ หรือเกิดความเข้าใจร่วมกันอย่างชัดแจ้ง มีทิศทาง/เข็มมุ่งเดียวกัน ทั้งแนวทางการปฏิบัติเชิงระบบและรายละเอียดปลีกย่อยในคู่มือ/การจัดการเรียนการสอนแบบ PBL  ซึ่งเชื่อว่าเป็นวิธีทางหนึ่งที่นำครูเข้าสู่ความเชี่ยวชาญมีมาตรฐานในการสอน

2. สร้างโจทย์ปัญหา/สถานการณ์ (triggers) โดย Triggers ที่ดี ควรมีลักษณะ/คำนึงความครบถ้วน/ประเด็นเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้

2.1 สร้างมาจากวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (objective learning) ที่จำเป็น หรือพิจารณาถึงความครอบคลุมของวัตถุประสงค์การเรียนรู้ สำหรับผู้เรียนของรายวิชานั้นๆ

2.2 ไม่เกินความสามารถด้านประสบการณ์ ความรู้ ทักษะที่เป็นพื้นฐานเดิมของผู้เรียน

2.3 มีความคล้ายคลึงหรือเสมือนจริงตามสถานการณ์ที่ต้องการ โดยเนื้อหาส่วนนี้โดยมีการปรับปรุงเพิ่มเติมข้อมูลประวัติการเจ็บป่วย ผลการตรวจร่างกาย ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สอดคล้องกันให้ชัดเจนและครบถ้วนยิ่งขึ้น

2.4 มีหัวเรื่องและเนื้อหา/เหตุการณ์ที่น่าสนใจ หรือกระตุ้น ดึงดูด หรือรุกเร้าความสนใจใฝ่รู้ใฝ่เรียน เช่น เป็นเหตุการณ์ที่กำลังได้รับความสนใจในปัจจุบัน เหตุการณ์ร่วมสมัย เป็นต้น

2.5 มีคำถามกระตุ้น (trigger question) เพื่อช่วยให้ tutor ใช้ในการถามกระตุ้นนักศึกษาให้คิดไปตามแนวทางหรือการอภิปรายดำเนินไปสู่วัตถุประสงค์ของโจทย์ปัญหาที่กำหนดไว้

2.6 มีสถานการณ์เสมือนจริง (Simulation Based Learning) โดยกำหนดให้นักศึกษาแสดงบทบาทสมมติตามสถานการณ์/trigger ที่กำหนด หรือผู้ป่วยเสมือนจริง  เพื่อเสริมสร้างความมีชีวิตชีวา (ความสด) ของโจทย์ปัญหา ทำให้โจทย์น่าสนใจ มีการสื่อสารสองทาง (two way communication) กระตุ้นการสร้างมโนทัศน์การรับรู้และความเข้าใจในโจทย์ปัญหาได้ดีขึ้น

2.7 ตรวจสอบคุณภาพของโจทย์ปัญหา/สถานการณ์ (triggers)   โดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อสร้างมาตรฐานของเครื่องมือ สำหรับการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ

3. การสร้างสื่อวีดีทัศน์ (VDO) หรือการเลือกใช้สื่อวีดีทัศน์เรื่องการเรียนรู้แบบ PBL ที่เหมาะสม สำหรับนักศึกษาเพื่อการเรียนรู้กระบวนการ ขั้นตอน หรือแนวทางการเรียนรู้แบบ PBL อันจะนำไปสู่การกำหนดบทบาทของตนเอง การเตรียมตนเอง หรือการพัฒนาตนเองสู่เส้นทางการเรียนรู้ตามกระบวนการ PBL ให้บรรลุผลลัพธ์ของการเรียนรู้ตามที่ตั้งไว้

4. เตรียมครู/ผู้สอน ดังนี้

4.1 ประชุมทีมครูผู้สอนเพื่อสร้างความเข้าใจในขั้นตอน PBL และบทบาทของครู/ผู้สอนตามเจตนารมณ์ของการเรียนรู้แบบ PBL คือ ครู/ผู้สอนเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้แก่นักศึกษา (facilitator) ดังแนวคิดที่ว่า “Teach less learn more”

4.2 ฝึกทักษะการตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดอย่างต่อเนื่อง  รอบคอบ ต่อยอด เป็นระบบ

4.3 จัดสัดส่วนครูต่อนักศึกษาที่เหมาะสม คือ 1 : 5-12 คน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป จากผลการประเมินการจัดการเรียนการสอนโดยผู้สอนและผู้เรียนพบว่า สัดส่วนครูต่อนักศึกษาในแต่ละกลุ่มมีจำนวนมากเกินไป (ครูต่อนักศึกษา 1 : 15-16 คน) ไม่สามารถกระตุ้นผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในปีการศึกษา 2562 จึงมีการปรับสัดส่วนครูต่อนักศึกษาในแต่ละกลุ่มให้มีจำนวนลดลงคือ 1 : 13-14 คน

5. เตรียมผู้เรียน ดังนี้

5.1 วางแผนแบ่งกลุ่มผู้เรียนให้เหมาะสม

1) ได้สัดส่วนครูต่อนักศึกษาที่เหมาะสม คือ 1 : 5-12 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป

2) คละเด็กเรียนเก่ง-ปานกลาง-อ่อน ตลอดจนเด็กที่มีประสบการณ์            ที่เกี่ยวข้องนั้นๆ ให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยเด็กที่เก่งและหรือเด็กที่มีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องตามโจทย์ปัญหานั้นๆ จะเป็นตัวกระตุ้นพลวัตกลุ่ม (group dynamics) ทำให้สมาชิกกลุ่มได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน

5.2 ฝึกทักษะการอ่านและสรุปความจากเนื้อหาที่อ่าน ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่ง และนักศึกษาต้องใช้ตลอดการเรียนรู้แบบ PBL

5.3 สร้างความเข้าใจในขั้นตอนและบทบาทของผู้เรียนตามกระบวนการเรียนรู้แบบ PBL แก่ผู้เรียน

5.4 สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้แบบ PBL โดยการเน้นกระบวนการเสริมพลังการเรียนรู้ (Empowerment) แก่นักศึกษา ก่อนเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้แบบ PBL ทั้งนี้เพราะการ Empowerment จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมให้นักศึกษามีอิสระในการปฏิบัติและเรียนรู้ หรือปลดปล่อยความรู้สึกที่ถูกคุกคามจากการบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ สิ่งที่น่าเบื่อ ให้เป็นสิ่งที่ดึงดูด และน่าสนใจที่เข้าไปเรียนรู้

5.5 สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและปลอดภัยแก่ผู้เรียน เพราะบรรยากาศที่เป็นมิตร จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้สึกอิสระ ปลอดภัย ไม่ถูกคุกคามหรือบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเรียนด้วยตนเอง

ขั้นที่ 2   :   การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (PBL)

ครู/ผู้สอนดำเนินการจัดการเรียนการสอนตามขั้นตอน PBL 3 ระยะ 7 ขั้นตอน ดังนี้

ระยะที่ 1 : เปิดโจทย์ปัญหา ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 – 5 ของ PBL ดังนี้

Step 1 :  Clarifying terms and concepts ผู้เรียนทั้งกลุ่มร่วมกันอ่านโจทย์หรือสถานการณ์ทำความเข้าใจกับศัพท์และแนวคิดให้มีความเข้าใจที่ตรงกัน โดยในขั้นตอนนี้ ได้เพิ่มกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เข้าใจโจทย์หรือสถานการณ์ปัญหาเสมือนหนึ่งเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ ให้มากที่สุดด้วยวิธีการให้นักศึกษาร่วมกันแสดงบทบาทสมมุติ (Role Play) ตามโจทย์ปัญหาที่กำหนดขึ้น ซึ่งวิธีการดังกล่าว นอกจากจะทำให้ผู้เรียนได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมตามบทบาทที่แสดงแล้ว ยังทำให้ผู้เรียนเกิดความสนุกสนานเบิกบานจากการแสดงหรือกิจกรรมการเคลื่อนไหว ไม่เครียด ส่งผลให้ผู้เรียนไม่ถูกกดดัน และเปิดใจใฝ่รู้ใฝ่เรียนต่อเนื่อง

Step 2 :  Identify the problem ผู้เรียนระบุปัญหาของโจทย์หรือสถานการณ์

Step 3 :  Analyze the problem เรียนวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาความเชื่อมโยงของปัญหา โดยขั้นตอนนี้ สามารถใช้เทคนิค Mind map เป็นเครื่องมือให้ผู้เรียนได้เชื่อมโยงของปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ Mind map จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการจัดระเบียบความคิดทั้งแบบคิดกว้างและคิดลึก             ช่วยให้ผู้เรียนเห็นภาพรวมของความสัมพันธ์ของสถานการณ์/โจทย์จากกระดาษแผ่นเดียว ทำให้เข้าใจได้รวดเร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยในการจับประเด็นสำคัญ สรุปสาระสำคัญนำมาสื่อสารให้ผู้อื่นสามารถจับต้อง เข้าใจและต่อยอดความรู้ได้ เป็นต้น

Step 4 :  Formulate hypotheses ผู้เรียนตั้งสมมติฐานที่เป็นสาเหตุของปัญหาและจัดลำดับความสำคัญ

Step 5 :  Formulating learning objective ผู้เรียนตั้งวัตถุประสงค์การเรียนรู้เพื่อนำมาใช้แก้ปัญหา

ระยะที่ 2 : ศึกษาหาความรู้ เป็นขั้นตอนที่ 6 ของ PBL คือ

Step 6 :  Collect additional information outside the group ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลนอกกลุ่มโดยต่างคนต่างแยกย้ายกันหาความรู้จากแหล่งวิทยาการต่างๆ ตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ โดยในขั้นตอนนี้ แม้จะเป็นการให้นักศึกษาได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง แต่ครู/ผู้สอนควรมีบทบาท                  ที่สำคัญ คือ การกำกับและติดตามเพื่อให้นักศึกษาดำเนินการค้นคว้าอย่างเหมาะสม มีทิศทางการ    หาคำตอบที่ถูกต้อง ตรงประเด็น จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายและน่าเชื่อถือ โดยผู้สอนและผู้เรียนกำหนดข้อตกลงร่วมกันในการสืบค้นข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ หลากหลาย และเป็นปัจจุบัน

ระยะที่ 3: ปิดโจทย์ปัญหาเป็นขั้นตอนที่ 7 ของ PBL คือ

Step 7 : Synthesize and test the newly acquired and identify information generalization and  principles derived from studying  this problem กลุ่มกลับมาพบกันใหม่สังเคราะห์ข้อมูล              ที่ได้มา เพื่อพิสูจน์สมมติฐานและสรุปเป็นหลักการสำหรับการนำไปใช้ต่อไปในอนาคต

ขั้นที่ 3   :   ประเมินผล ประกอบด้วย

1. ปัจจัยที่จำเป็นต้องพิจารณาประเมิน เพื่อการปรับปรุง/พัฒนากระบวนการเรียนรู้ และควรพิจารณาประเมินให้ครอบคลุม 360 องศา โดยปัจจัยที่จำเป็นต้องพิจารณาประเมิน ประกอบด้วย

1.1 ด้านผู้เรียน อันจะนำไปสู่การบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ดังนี้

1.1.1 การประเมินผลระหว่างการเรียนการสอนเพื่อนำข้อมูลวางแผนพัฒนาผู้เรียนตามกระบวนการ PBL อย่างต่อเนื่อง (formative evaluation)

1.1.2 การประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ (summative evaluation) ตามที่กำหนด เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแบบ PBL ได้แก่ 1) ความรู้ จัดให้มีการประเมินเป็นรายบุคคลโดยการสอบภาคทฤษฎี 2) ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบและการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 4) ความสามารถในการทำงานเป็นทีม และ 5) ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง

1.2 ด้านครู/ผู้สอน จะมุ่งเน้นการประเมินประสิทธิภาพและคุณภาพของครู/ผู้สอนในบทบาทที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน

1.3 ด้านคู่มือการเรียนการสอนแบบ PBL

1.4 โจทย์ปัญหา/สถานการณ์ (Triggers)

2. วิธีการวัดและประเมินผล โดยทีมผู้ร่วมสอนต้องร่วมกำหนดวิธีการวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับรูปแบบ/กระบวนการเรียนรู้แบบ PBL ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะวิธีเชิงคุณภาพ : การสะท้อนคิด (Reflection) จากการมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้แบบ PBL ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีการที่ควรนำมาประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะรูปแบบการสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน หรือการเขียนการเรียนรู้ ภายใต้คำถามกระตุ้นหรือนำสู่กระบวนการสะท้อนคิด ทั้งนี้ วิธีการประเมินผลแบบการสะท้อนคิดนั้น จะช่วยให้ได้มาซึ่งข้อมูลเชิงคุณภาพที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุง/พัฒนากระบวนการเรียนรู้แบบ PBL และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ผ่านการถ่ายทอดจากตัวผู้เรียนรายบุคคลสู่การรับรู้ของบุคคลอื่น ซึ่งการสะท้อนคิด ทั้งรูปแบบการเขียนและการพูด จะเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นให้นักศึกษา/อาจารย์/ผู้สอนได้ทบทวนและตระหนักรู้ในความรู้สึก ความคิดของตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการตระหนักรู้ดังกล่าว จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งในความเป็นไปของเหตุการณ์ ความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม อันจะนำไปสู่การพัฒนา/ปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนแบบ PBL ให้มีคุณภาพต่อไป

ชุมชนนักปฏิบัติการจัดการความรู้ PBL

ผู้ถอดบทเรียน

9 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

รายงานการประชุมการจัดการความรู้ เรื่อง การจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิด วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๒ ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๓๐-๑๕.๐๐ น. ณ ห้องประชุมอังศนา วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์

Categories: การจัดการความรู้ วพบ.อต.
Author: admin
Time: 2:51 pm
Reactions :20 comments

วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์

รายงานการประชุมการจัดการความรู้  เรื่อง การจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิด

วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๖๒ ๒๕๖๒  เวลา ๑๓.๓๐-๑๕.๐๐ น.

ณ ห้องประชุมอังศนา วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี  อุตรดิตถ์

……………………………………………………………..

รายชื่อผู้เข้าประชุม

๑.   นางสาวดุจเดือน               เขียวเหลือง            พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการพิเศษ

๒.   นายไพทูรย์                       มาผิว                  พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการพิเศษ

๓.   นางสาวสุดารัตน์               ไชยประสิทธิ์           พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการพิเศษ

๔.   นางมณฑา                      อุดมเลิศ               พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการพิเศษ

๕.   นางสาวปฐพร                  แสงเขียว              พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการพิเศษ

๖.   นางสาววิไลวรรณ              บุญเรือง               พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการพิเศษ

๗.   นางปภาดา                     ชมภูนิตย์              พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ

๘.   นายอิทธิพล                      แก้วฟอง               พยาบาลวิชาชีพปฎิบัติการ

๙.   นางสาวสุกัญญา               ม่วงเลี้ยง               พยาบาลวิชาชีพปฎิบัติการ

๑๐. นายกันตวิชญ์                    จูเปรมปรี              พยาบาลวิชาชีพปฎิบัติการ

๑๑. นางสาวสิริกานดา              สุขเกษม               พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ

๑๒. นางสาววิรินทร                 พิมไลย                 พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ

๑๓. นางสาวจิราพร                  วิศิษฎ์โกศล            พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ เลขานุการ

๑๔. นางพัชรินทร์                   วงษ์สว่าง              พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ ผู้ช่วยเลขานุการ

รายชื่อผู้ไม่เข้าร่วมประชุม

๑.   นายนภดล                     เลือดนักรบ       พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการพิเศษ (ไปราชการ)

๒.   นางสาวดวงดาว                 เทพทองคำ       พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการพิเศษ  (ไปราชการ)

๓.   นางสาวดารณี                  ขันใส             พยาบาลวิชาชีพปฎิบัติการ

๔.   นายอรรถพล                     ยิ้มยรรยง        พยาบาลวิชาชีพปฎิบัติการ (นิเทศ)

๕.   นางสาวจิระภา                 สุมาลี             พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ (นิเทศ)

จำนวนผู้เข้าร่วมประชุม จำนวน  ๑๔  คน คิดเป็นร้อยละ  ๗๐

เปิดประชุมเวลา ๑๓.๓๐ น.

ประธานที่ประชุม นางสาวดุจเดือน เขียวเหลือง รองผู้อำนวยการ  กลุ่มงานวิชาการ

วาระที่ ๑ เรื่องแจ้งจากประธาน

จากการจัดองค์ความรู้การจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิดครั้งที่ ๑ ได้มีการนำแนวปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิดไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยแบ่งเป็น ๓ ระยะ ดังนี้

ระยะที่ ๑ นำแนวปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิดไปประยุกต์ใช้ในการเขียน Reflective journal writing ในรายวิชาภาคทฤษฎี

ระยะที่ ๒ นำแนวปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิดไปประยุกต์ใช้ในการเขียน Reflective journal writing ในรายวิชาภาคปฏิบัติ

ระยะที่ ๓ นำแนวปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิดไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาการพัฒนาการคิดอย่างเป็นระบบทั้งภาคทฤษฎีและภาคทดลองและรายวิชาภาคปฏิบัติ

และได้นำการเรียนรู้แบบสะท้อนคิด (Reflective thinking) ตามแนวคิดของ อ.ดร.ดุจเดือน  เขียวเหลือง จากวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์ ประกอบด้วย ๗ ขั้นตอน ได้แก่

๑) อธิบายสถานการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้น

๒) อธิบายความรู้สึกต่อสถานการณ์

๓) บอกแนวคิด/หลักการ/ความเชื่อที่สนับสนุนการกระทำ

๔) เปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย

๕) จัดลำดับความคิดและสรุปแนวคิดรวบยอด

๖) นำข้อสรุปไปปฏิบัติ

๗) สะท้อนคิดการเรียนรู้/ประสบการณ์ใหม่ที่แตกต่างจากเดิม

ซึ่งจากการนำมาใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนรายวิชาการพัฒนาการคิดอย่างเป็นระบบทั้งภาคทฤษฎีและภาคทดลองและรายวิชาภาคปฏิบัติและได้เกิดผลอย่างไรในการจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิดในครั้งนั้น

และจากการจัดองค์ความรู้การจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิด ครั้งที่๑ ทำให้ได้หาแนวทางร่วมกันที่จะนำไปใช้ในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๒ นั้นจึงจำเป็นต้องมีการเตรียมและพัฒนาคุณลักษณะ ๓ ประการคือ

๑.      ต้องมีการเตรียมและพัฒนาคุณลักษณะครู How to be reflective teacher

๒.      ต้องมีการเตรียมและพัฒนาคุณลักษณะนักศึกษา How to be reflective learner

๓.  สร้างสิ่งแวดล้อม จัดสภาพบริบทให้ส่งเสริมการเรียนรู้จากการสะท้อนคิด

คุณสมบัติผู้สอน คุณสมบัติผู้เรียน การจัดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้
1. เปิดใจกว้าง ไม่มีอคติ

2. ตั้งคำถามชวนคิด

3. ฟังอย่างตั้งใจ

4. คิดเป็น concept

5. ยืดหยุ่น

6. จริงใจ ตรงไปตรงมา

7. ให้กำลังใจ

8. Feed back เร็ว

1. ช่างสังเกต ไวต่อบริบท

2. เข้าใจตนเอง ซื่อสัตย์กับความรู้สึก

3. กล้าหาญในการบอกความเชื่อของตน

4. ฟังอย่างตั้งใจ เปิดใจกว้าง

5. คิดเป็นระบบ (ยากมาก)

6. ใช้ความเป็นเหตุผล เรียนรู้

7. ประเมินตนเองได้

1. จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่เอื้อต่อคุณลักษณะของผู้เรียน

2. ให้นักศึกษาได้ทำกิจกรรมที่ฝึกให้มีความ “กล้าคิด”

3. จัดสิ่งสนับสนุนการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนแบบสะท้อนคิดเช่น หนังสือ สื่อ แหล่งความรู้ภายนอก ฯลฯ

มติที่ประชุม : รับทราบ

วาระที่  ๒  เรื่องรับรองรายงานการประชุม

มติที่ประชุม -

วาระที่  ๓ เรื่องติดตามรายงานการประชุม

มติที่ประชุม -

ระเบียบวาระที่ ๔ เรื่องเพื่อพิจารณา

จากการนำแนวปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนแบบสะท้อนคิดไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนในรอบปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินการการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างไร มีปัญหาอุปสรรค หรือข้อเสนอแนะ รวมถึงข้อสังเกตอะไรบ้าง เพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขการจัดการเรียนการสอนในปีการศึกษาต่อไป

อาจารย์ไพทูรย์ มาผิว : ผู้สอนควรทำจัดให้ผู้เรียนได้เจอกับสถานการณ์วิกฤต อาจจะเป็นการสร้างสถานการณ์จริงหรือบทบาทสมมุติ เพื่อกระตุ้นอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้เรียน ส่วนการเป็นครูที่จะต้องตอบสนองให้นักศึกษาได้ชวนคิดนั้นควรจะมีคำถามในสต๊อกไว้ การที่จะมาสร้างคำถามในทันทีทันใดมักจะให้ผู้ที่ฟังอย่างตั้งใจแล้วได้ฟังไปช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้วแต่ยังไม่ตอบสนองทันที ดังนั้นควรจะทำอย่างไรต่อไป คือถ้ามีคำถามไว้ในสต๊อก (stock) คำถาม  เช่น เกิดอะไรขึ้น เป็นอย่างไร จะช่วยให้ได้ฉุดคิดหรือทำให้นักศึกษาได้เกิดความคิดขึ้นมาได้  ส่วนในตัวคำถามที่ว่า ทำไม คิดว่าควรใช้ได้ ขึ้นอยู่กับน้ำเสียง และท่าที ซึ่งคิดว่าน่าจะไม่เป็นไร ซึ่งจะเห็นได้ถึงการตระหนักรู้ในตนเอง สะท้อนเหตุการณ์ทุกประเด็นทำให้เกิด ความรู้สึกจากการสะท้อนคิดในรายวิชาภาคปฏิบัติ โดยนำเอากระบวนการสะท้อนคิด ๖ ขั้นตอนของ Gibb-cycle มาประยุกต์ใช้ และรวมถึงถ้านำการเรียนรู้แบบสะท้อนคิด (Reflective thinking) ตามแนวคิดของ อ.ดร.ดุจเดือน  เขียวเหลือง  ๗ ขั้นตอน มาทำเป็นรูปแบบ Model ของวิทยาลัยฯก็น่าจะเป็นจุดยืน หรือโอกาสที่ดีมาก

อาจารย์ดร. ปฐพร แสงเขียว : คุณสมบัติของผู้สอน อาจจะถูกส่งต่อในเรื่องภาพส่วนบุคคลต่อๆกันมา ในส่วนตัวจึงได้มีวิธีการโดยการปรับตัวเอง ด้วยการเปลี่ยนท่าที และการสังเกตลักษณะท่าทีของผู้เรียน  การให้กำลังใจ จากการสะท้อนคิดการฝึกภาคปฏิบัติในรายวิชาการพยาบาลสุขภาพจิต จะเห็นถึงความแตกต่างกันมาก เห็นได้ว่าในรายวิชาภาคทฤษฎี การสะท้อนคิดของนักศึกษาส่วนใหญ่จะเป็นการเขียนรายงานสะท้อนคิดที่อ่าน ไม่แล้วแสดงออกถึงความสามารถในการสะท้อนคิดได้จริง แต่เมื่อนักศึกษาได้ลงรายวิชาภาคปฏิบัติ ส่วนมากจะใช้วิธีการโดยการตั้งคำถามเพื่อให้กระตุ้นให้นักศึกษาฝึกการสะท้อนคิด “วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง, เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น,นักศึกษารู้สึกอย่างไร, แล้วนักศึกษาจะทำให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไร จะเห็นได้ว่านักศึกษามีการเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ในทิศทางที่ทำให้ตัวเองเปลี่ยนเช่น เมื่อให้กำลังใจนักศึกษาก็จะกล้าพูดกล้าคิดและ กล้าแสดงออก จึงมีการสะท้อนความรู้สึกได้  โดยฝึกให้นักศึกษาได้พูด ไม่ว่าจะถูกหรือผิด และจะเปิดใจกว้างรับฟังสิ่งที่นักศึกษาได้พูดและทำ  ทำให้นักศึกษาได้มีการสะท้อนและเกิดการรับรู้เรียนรู้ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงได้  ส่วนการตั้งคำถาม เป็นสิ่งที่ยากมาก ยังต้องพัฒนาต่อไป คุณสมบัติของผู้เรียนข้อ ๓ กล้าหาญในการบอกความเชื่อของตน ก็ยากมากที่จะมาบอกเรื่องความเชื่อของตนถ้าไม่มีทฤษฎีมารองรับในส่วนนี้ก็ต้องพัฒนานักศึกษาในขั้นต่อไป และในปีการศึกษานี้อาจจะนำการใช้สถานการณ์ที่วิกฤตจริง การใช้กลยุทธ์กระตุ้นการคิดวิเคราะห์การคิดด้วยภาพ Visual thinking strategic และฝึกสติเพื่อให้มีการรับรู้ดี (Mind fullness) ด้วยวิธีการเดินจงกรม (Walking the labyrinth) สะท้อนคิดให้กับผู้เรียนได้ฝึกการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบก็น่าจะเป็นประโยชน์ที่ดีกับ รายวิชาการพัฒนากระบวนการคิดอย่างเป็นระบบด้วย และจะจัดทำเป็นคู่มือก่อนการฝึกปฏิบัติให้อาจารย์ผู้ร่วมสอนใน (ภาคปฏิบัติ) ได้ใช้คู่มือเป็นแนวทางในการฝึกปฏิบัติตามขั้นตอนของกระบวนการคิด ๗ ขั้นตอน หรืออาจารย์ท่านใดที่สนใจอยากร่วมกันสอนในภาคปฏิบัติก็สามารถมาร่วมด้วยได้เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการเรียนรู้กระบวนการ Reflective learning เพิ่มมากยิ่งขึ้น ส่วนปัญหาการเรียนรู้ของนักศึกษาจะยังไม่ต่อเนื่องตาม ๗ ขั้นตอน เนื่องด้วยติดวันหยุดราชการ (วันสงกรานต์) ทำให้ในการฝึกปฏิบัติเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่อง ทำให้เกิดกระบวนการคิดไม่ต่อเนื่องด้วย

อาจารย์ดร.ดุจเดือน เขียวเหลือง : การสะท้อนคิดจะ เห็นได้ว่านักศึกษามีแรงตกกระทบจิตใจที่แตกต่างกันออกไป การที่จะมาใช้คำถามเดียวกันก็อาจจะใช้ไม่ได้ผลและทำให้ไม่ได้เกิดการสะท้อนคิด และการสะท้อนคิดก็จะแตกต่างกันออกไปซึ่งคุณลักษณะของนักศึกษาควรมีดังต่อไปนี้

๑. นักศึกษาควรมีลักษณะช่างสังเกต ไวต่อบริบทและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง

๒. นักศึกษาควรมีเข้าใจตนเอง ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตนเองและต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

๓. นักศึกษาควรมีพื้นฐานความรู้ ความกล้าหาญในการบอกความเชื่อของตน

๔. นักศึกษาควรมีฟังอย่างตั้งใจ เปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และใคร่ครวญตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

๕. นักศึกษาควรคิดเป็นระบบ ซึ่งเป็นข้อที่สร้างได้ค่อนข้างยาก

๖. นักศึกษาควรฝึกใช้ความเป็นเหตุผล เรียนรู้ให้เป็นเหตุเป็นผล

๗. นักศึกษาควรประเมินตนเองให้ได้โดยการฝึกคิดในการเปรียบเทียบจากประสบการณ์หรือเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา กับเหตุการณ์ปัจจุบันว่ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมบ้าง นักศึกษาได้รับประสบการณ์ใหม่ในประเด็นใดบ้างทั้งด้านความรู้ ความคิด และความเชื่อ

และควรมีแบบวัดหรือประเมินคุณสมบัติผู้เรียน วัดคุณสมบัติทั้ง ๗ ข้อใน ๑ แบบประเมิน เพื่อที่จะได้พัฒนาเป็น Model หรือเตรียมทั้งผู้เรียนและเตรียมทั้งผู้สอน

ควรมีกลยุทธ์ดังต่อไปนี้

ดังนั้นถ้าได้ในขั้นตอนต่อไป จะนำไปทำการวิจัยในโอกาสต่อไปเพื่อพัฒนาและเป็นรูปแบบ (Model) ของวิทยาลัยฯ เพื่อใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนต่อไปได้

อาจารย์มณฑา อุดมเลิศ : จากการนำแนวคิดการสะท้อนคิดไปประยุกต์ใช้ในรายวิชาฝึกปฏิบัติ พบว่านักศึกษาเขียนรายงานการสะท้อนคิดมาในรูปแบบเดียวกัน เหมือนปฏิบัติตามกันมา จึงทำให้ไม่เกิดการเรียนรู้จากการสะท้อนคิดที่แท้จริง ดังนั้นผู้สอนควรจะจัดการโดยการกระตุ้นให้เห็นสถานการณ์ตัวอย่างจริง เช่นกรณีรับน้องใหม่ หรือจัดให้มี OSCEE  ในเด็กที่จะเปิดการศึกษาใหม่นี้จะเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน  ส่วนตัวในการฝึกภาควิชาปฏิบัติให้ดู VDO ก่อนขึ้นฝึกจริง และมีการตั้งคำถามแต่ละหัวข้อๆและให้สรุปการสะท้อนคิดนั้นมาตามหัวข้อคำถามที่ให้ไป

อาจารย์สุดารัตน์ ไชยประสิทธิ์ : จากการนำแนวคิดการสะท้อนคิดมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาปฏิบัติการพยาบาลมารดา ทารก และการผดุงครรภ์ ปัญหาอุปสรรคที่พบคือ การฟังอย่างตั้งใจ โดยมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามามีอิทธิพลทำให้นักศึกษาเกิดการเรียนรู้จากการสะท้อนคิดที่ไม่จริงหรือการสะท้อนคิดเชิงวิชาการไปมากกว่า สะท้อนได้จริงและความแตกต่างระหว่างผู้สอนและพื้นฐานของนักศึกษาแต่ละคนถ้าปิดกั้นก็จะไม่ทำให้เกิดการสะท้อนคิดได้เลย

อาจารย์สุกัญญา ม่วงเลี้ยง: จากการนำแนวคิดการสะท้อนคิดไปใช้ในช่วงการตั้งคำถาม เพื่อให้ได้การสะท้อนคิดออกมาแต่ในเรื่องบริบทหรือสถานที่ไม่เอื้ออำนวยเช่น มีเสียงรบกวน หรือญาติ คนไข้ รวมกันอยู่จำนวนมาก ก็จะทำให้นักศึกษาเกิดการสะท้อนออกมาได้ไม่จริงตามการสะท้อนคิด

อาจารย์กันตวิชญ์    จูเปรมปรี: จากการนำแนวคิดการสะท้อนคิดไปใช้การสะท้อนคิดในรายวิชากระบวนการคิดนั้นจำนวนนักศึกษาในกลุ่มมีจำนวนมาก ทำให้บริบทที่ทำให้เกิดการสะท้อนคิดเป็นไปได้ไม่ค่อยจริง

อาจารย์พัชรินทร์ วงษ์สว่าง: จากการนำแนวคิดการสะท้อนคิดไปใช้การสะท้อนคิดในรายวิชาสารสนเทศทางการพยาบาล การสอน และการให้การปรึกษาทางสุขภาพ ของอาจารย์ จิระภา สุมาลี  นั้น โดยผู้สอนได้บทบาทเป็นผู้ตั้งคำถาม และมอบหมายกรณีศึกษาและให้นักศึกษาจับคู่ แสดง บทบาทการเป็นผู้ให้คำปรึกษา และผู้รับบริการ ผู้สอนเป็นผู้สังเกตการณ์ จากนั้นจะทำให้นักศึกษาได้สะท้อนมุมมองและ ช่วยให้นักศึกษาได้สำรวจตนเอง ของนักศึกษา ทั้ง ๒ ฝ่าย และทำให้ได้ทราบข้อดีและข้อเสนอแนะจากการสะท้อนคิดนั้นได้จริง แต่อาจมีข้อจำกัดเรื่องเวลา

มติที่ประชุม: รับทราบ และนำไปเป็นแนวทางการ

ระเบียบวาระที่ ๕ เรื่องหารือที่ประชุม

มติที่ประชุม: -

ระเบียบวาระที่ ๖ เรื่องอื่นๆ

มติที่ประชุม: -

ปิดประชุม เวลา  ๑๕.๐๐ น.

ลงชื่อ…………………………………ผู้ช่วยบันทึกการประชุม

(นางพัชรินทร์  วงษ์สว่าง)

ลงชื่อ…………………………………ผู้ตรวจรายงานการประชุม

(นางสาวดุจเดือน เขียวเหลือง)

ประธานที่ประชุม

Proudly powered by Wordpress 3.0.1 - Theme Triplets Id Band 2.0, the boyish style by neuro