สรุปผลการถอดบทเรียนการจัดการเรียนรู้
ภาควิชา การพยาบาลเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์
แนวปฏิบัติ : การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning : กระบวนการการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem – Based Learning : PBL)
[ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 6 : 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560]
แนวปฏิบัติ : การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning : กระบวนการการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหา เป็นหลัก (Problem – based Learning : PBL) ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 6 ได้พัฒนาขึ้นจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ของคณาจารย์ภาควิชาการพยาบาลเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ภายใต้กระบวนการจัดการความรู้ (KM) อย่างต่อเนื่อง ภายหลังการนำไปใช้จริงในการจัดการเรียนการสอน ครั้งที่ 4 ในรายวิชา มโนมติ ทฤษฎี และกระบวนการพยาบาล เรื่อง กระบวนการพยาบาล สำหรับนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โดยแนวปฏิบัติฉบับปรับปรุง มีรายละเอียด ดังนี้
การจัดการเรียนการสอนแบบ Active learning คือ กระบวนการหรือรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเองอย่างกระตือรือร้นและใฝ่รู้ ทั้งคิด ทำ ค้นคว้า แก้ปัญหา และสร้างสรรค์การเรียนรู้อย่างอิสระ ฯลฯ โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้ช่วยเหลือเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุตามวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้
การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem–based Learning : PBL) คือ วิธีการเรียนการสอนที่ใช้ปัญหาหรือสถานการณ์เป็นจุดเริ่มต้นและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความต้องการใฝ่หาความรู้เพื่อแก้ปัญหา โดยเน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้ตัดสินใจในสิ่งที่ต้องการแสวงหาและรู้จักการทำงานร่วมกันเป็นทีมภายในกลุ่มผู้เรียนโดยผู้สอนมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องน้อยที่สุด
ขั้นตอนการดำเนินการ
การดำเนินการจัดการเรียนรู้แบบ PBL แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 : เตรียมการ
ขั้นเตรียมการนี้ถือว่าเป็นระยะที่มีความสำคัญ ซึ่งการเตรียมการที่ดีจะช่วยให้การเรียนการสอนแบบ PBL ประสบความสำเร็จ บรรลุตามเป้าหมายและผลลัพธ์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ โดยการเตรียมการที่ต้องกระทำ ภายใต้การมีส่วนร่วมอย่างเข้มแข็งของผู้สอน ได้แก่
1. จัดทำคู่มือการเรียนการสอนแบบ PBL สำหรับครู/ผู้สอน/ผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) และผู้เรียน โดยมีหลักการ ดังนี้
1.1 คู่มือการเรียนการสอนแบบ PBL
1) คู่มือสำหรับผู้เรียน ควรประกอบด้วย 1) ขั้นตอนการเรียนรู้แบบ PBL 2) โจทย์ปัญหา/สถานการณ์ (triggers) และ 3) แบบประเมินหรือเครื่องต่างๆ ที่สำหรับประเมินผลการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้รายบท และการเรียนรู้แบบ PBL
2) คู่มือสำหรับครู/ผู้สอน/ผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) ควรประกอบด้วย 1) ขั้นตอนการเรียนรู้แบบ PBL 2) โจทย์ปัญหา/สถานการณ์ (triggers) 3) แบบประเมินหรือเครื่องมือต่างๆ สำหรับประเมินผลการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้รายบท/เนื้อหา และการเรียนรู้แบบ PBL และ 4) เนื้อหาสาระหลัก/ที่จำเป็น สำหรับการอธิบายเชื่อมโยงหรือตอบโจทย์ปัญหา หรือ Triggers นั้นๆ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้สอนทั้งนี้เพราะผู้สอนแต่ละคนมีความความรู้ ความเข้าใจ และลุ่มลึกในเนื้อหาสาระและประสบการณ์แตกต่างกัน ดังนั้น การที่ผู้สอนร่วมกันกำหนดเนื้อหาสาระที่จำเป็นอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และนำกลับไปทบทวนอย่างจริงจัง ย่อมสร้างความเข้าใจในเนื้อหาได้ชัดเจน เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง เมื่อเข้ากลุ่มกับนักศึกษา
1.2 กระบวนการให้ได้มาซึ่งคู่มือการเรียนการสอนแบบ PBLที่มีคุณภาพ ต้องมีจุดเน้นที่สำคัญ คือ กระบวนการจัดทำแบบมีส่วนร่วมของทีมผู้ร่วมสอน ทั้งนี้เพราะการมีส่วนร่วม จะช่วยสร้างความกระจ่างชัดในการกระทำ หรือเกิดความเข้าใจร่วมกันอย่างชัดแจ้ง มีทิศทาง/เข็มมุ่งเดียวกัน ทั้งแนวทางการปฏิบัติเชิงระบบและรายละเอียดปลีกย่อยในคู่มือ/การจัดการเรียนการสอนแบบ PBL ซึ่งเชื่อว่าเป็นวิธีทางหนึ่งที่นำครูเข้าสู่ความเชี่ยวชาญมีมาตรฐานในการสอน
2. สร้างโจทย์ปัญหา/สถานการณ์ (triggers) โดย Triggers ที่ดี ควรมีลักษณะ/คำนึงความครบถ้วน/ประเด็นเพิ่มเติม ดังต่อไปนี้
2.1 สร้างมาจากวัตถุประสงค์การเรียนรู้ (objective learning) ที่จำเป็น หรือพิจารณาถึงความครอบคลุมของวัตถุประสงค์การเรียนรู้ สำหรับผู้เรียนของรายวิชานั้นๆ
2.2 ไม่เกินความสามารถด้านประสบการณ์ ความรู้ ทักษะที่เป็นพื้นฐานเดิมของผู้เรียน
2.3 มีความคล้ายคลึงหรือเสมือนจริงตามสถานการณ์ที่ต้องการ
2.4 มีหัวเรื่องและเนื้อหา/เหตุการณ์ที่น่าสนใจ หรือกระตุ้น ดึงดูด หรือรุกเร้าความสนใจใฝ่รู้ใฝ่เรียน เช่น เป็นเหตุการณ์ที่กำลังได้รับความสนใจในปัจจุบัน เหตุการณ์ร่วมสมัย เป็นต้น
2.5 ประเด็นพิจารณาเพิ่มเติมเพื่อเติมเต็มการเรียนรู้ ดังนี้
(1) ควรมีคำถามกระตุ้น (trigger question) เพื่อช่วยให้ tutor ใช้ในการถามกระตุ้นนักศึกษาให้คิดไปตามแนวทางหรือการอภิปรายดำเนินไปสู่วัตถุประสงค์ของโจทย์ปัญหาที่กำหนดไว้
(2) สร้างสถานการณ์เสมือนจริง (Simulation Based Learning) หรือผู้ป่วยเสมือนจริง เพื่อเสริมสร้างความมีชีวิตชีวา (ความสด) ของโจทย์ปัญหา ทำให้โจทย์น่าสนใจ มีการสื่อสารสองทาง (two way communication) กระตุ้นการสร้างมโนทัศน์การรับรู้และความเข้าใจในโจทย์ปัญหาได้ดีขึ้น
(3) ตรวจสอบคุณภาพของโจทย์ปัญหา/สถานการณ์ (triggers) โดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ เพื่อสร้างมาตรฐานของเครื่องมือ สำหรับการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ
3. การสร้างสื่อวีดีทัศน์ (VDO) หรือการเลือกใช้สื่อวีดีทัศน์เรื่องการเรียนรู้แบบ PBL ที่เหมาะสม สำหรับนักศึกษาเพื่อการเรียนรู้กระบวนการ ขั้นตอน หรือแนวทางการเรียนรู้แบบ PBL อันจะนำไปสู่การกำหนดบทบาทของตนเอง การเตรียมตนเอง หรือการพัฒนาตนเองสู่เส้นทางการเรียนรู้ ตามกระบวนการ PBL ให้บรรลุผลลัพธ์ของการเรียนรู้ตามที่ตั้งไว้
4. เตรียมครู/ผู้สอน ดังนี้
4.1 ประชุมทีมครูผู้สอนเพื่อสร้างความเข้าใจในขั้นตอน PBL และบทบาทของครู/ผู้สอนตามเจตนารมณ์ของการเรียนรู้แบบ PBL คือ ครู/ผู้สอนเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้แก่นักศึกษา (facilitator) ดังแนวคิดที่ว่า “Teach less learn more”
4.2 ฝึกทักษะการตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิดอย่างต่อเนื่อง รอบคอบ ต่อยอด เป็นระบบ
4.3 จัดสัดส่วนครูต่อนักศึกษาที่เหมาะสม คือ 1 : 5-12 คน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป
5. เตรียมผู้เรียน ดังนี้
5.1 วางแผนแบ่งกลุ่มผู้เรียนให้เหมาะสม
1) ได้สัดส่วนครูต่อนักศึกษาที่เหมาะสม คือ 1 : 5-12 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่มากหรือน้อยเกินไป
2) คละเด็กเรียนเก่ง-ปานกลาง-อ่อน ตลอดจนเด็กที่มีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องนั้นๆ ให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน โดยเด็กที่เก่งและหรือเด็กที่มีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องตามโจทย์ปัญหานั้นๆ จะเป็นตัวกระตุ้นพลวัตกลุ่ม (group dynamics) ทำให้สมาชิกกลุ่มได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
5.2 ฝึกทักษะการอ่านและสรุปความจากเนื้อหาที่อ่าน ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่ง และนักศึกษาต้องใช้ตลอดการเรียนรู้แบบ PBL
5.3 สร้างความเข้าใจในขั้นตอนและบทบาทของผู้เรียนตามกระบวนการเรียนรู้แบบ PBL แก่ผู้เรียน
5.4 สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้แบบ PBL โดยการเน้นกระบวนการเสริมพลังการเรียนรู้ (Empowerment) แก่นักศึกษา ก่อนเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้แบบ PBL ทั้งนี้เพราะการ Empowerment จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และส่งเสริมให้นักศึกษามีอิสระในการปฏิบัติและเรียนรู้ หรือปลดปล่อยความรู้สึกที่ถูกคุกคามจากการบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ สิ่งที่น่าเบื่อ เป็นสิ่งที่ดึงดูด และน่าสนใจที่เข้าไปเรียนรู้
5.5 สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและปลอดภัยแก่ผู้เรียน เพราะบรรยากาศที่เป็นมิตร จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้สึกอิสระ ปลอดภัย ไม่ถูกคุกคามหรือบีบบังคมให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ อันจะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความอยากรู้อยากเรียนด้วยตนเอง
ขั้นที่ 2 : การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (PBL)
ครู/ผู้สอนดำเนินการจัดการเรียนการสอนตามขั้นตอน PBL 3 ระยะ 7 ขั้นตอน ดังนี้
ระยะที่ 1 : เปิดโจทย์ปัญหา ประกอบด้วย ขั้นตอนที่ 1 – 5 ของ PBL ดังนี้
Step 1 : Clarifying terms and concepts ผู้เรียนทั้งกลุ่มร่วมกันอ่านโจทย์หรือสถานการณ์ทำความเข้าใจกับศัพท์และแนวคิดให้มีความเข้าใจที่ตรงกัน โดยในขั้นตอนนี้ สามารถเพิ่มกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เข้าใจโจทย์หรือสถานการณ์ปัญหาเสมือนหนึ่งเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ ให้มากที่สุดด้วยวิธีการให้นักศึกษาร่วมกันแสดงบทบาทสมมุติ (Role Play) ตามโจทย์ปัญหาที่กำหนดขึ้น ซึ่งวิธีการดังกล่าว นอกจากจะทำให้ผู้เรียนได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมตามบทบาทที่แสดงแล้ว ยังทำให้ผู้เรียนเกิดความสนุกสนานเบิกบานจากการแสดงหรือกิจกรรมการเคลื่อนไหว ไม่เครียด ส่งผลให้ผู้เรียนไม่ถูกกดดัน และเปิดใจใฝ่รู้ใฝ่เรียนต่อเนื่อง
Step 2 : Identify the problem ผู้เรียนระบุปัญหาของโจทย์หรือสถานการณ์
Step 3 : Analyze the problem เรียนวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาความเชื่อมโยงของปัญหา โดยขั้นตอนนี้ สามารถใช้เทคนิค Mind map เป็นเครื่องมือให้ผู้เรียนได้เชื่อมโยงของปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ Mind map จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการจัดระเบียบความคิดทั้งแบบคิดกว้างและคิดลึก ช่วยให้ผู้เรียนเห็นภาพรวมของความสัมพันธ์ของสถานการณ์/โจทย์จากกระดาษแผ่นเดียว ทำให้เข้าใจได้รวดเร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยในการจับประเด็นสำคัญ สรุปสาระสำคัญนำมาสื่อสารให้ผู้อื่นสามารถจับต้อง เข้าใจและต่อยอดความรู้ได้ เป็นต้น
Step 4 : Formulate hypotheses ผู้เรียนตั้งสมมติฐานที่เป็นสาเหตุของปัญหาและจัดลำดับความสำคัญ
Step 5 : Formulating learning objective ผู้เรียนตั้งวัตถุประสงค์การเรียนรู้เพื่อนำมาใช้แก้ปัญหา
ระยะที่ 2 : ศึกษาหาความรู้ เป็นขั้นตอนที่ 6 ของ PBL คือ
Step 6 : Collect additional information outside the group ผู้เรียนรวบรวมข้อมูลนอกกลุ่มโดยต่างคนต่างแยกย้ายกันหาความรู้จากแหล่งวิทยาการต่างๆ ตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ตั้งไว้ โดยในขั้นตอนนี้ แม้จะเป็นการให้นักศึกษาได้ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง แต่ครู/ผู้สอนควรมีบทบาทที่สำคัญ คือ การกำกับและติดตามเพื่อให้นักศึกษาดำเนินการค้นคว้าอย่างเหมาะสม มีทิศทางการ หาคำตอบที่ถูกต้อง ตรงประเด็น จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลายและน่าเชื่อถือ
ระยะที่ 3: ปิดโจทย์ปัญหาเป็นขั้นตอนที่ 7 ของ PBL คือ
Step 7 : Synthesize and test the newly acquired and identify information generalization and principles derived from studying this problem กลุ่มกลับมาพบกันใหม่สังเคราะห์ข้อมูลที่ได้มา เพื่อพิสูจน์สมมติฐานและสรุปเป็นหลักการสำหรับการนำไปใช้ต่อไปในอนาคต
ขั้นที่ 3 : ประเมินผล ประกอบด้วย
1. ปัจจัยที่จำเป็นต้องพิจารณาประเมิน เพื่อการปรับปรุง/พัฒนากระบวนการเรียนรู้ และควรพิจารณาประเมินให้ครอบคลุม 360 องศา โดยปัจจัยที่จำเป็นต้องพิจารณาประเมิน ประกอบด้วย
1.1 ด้านผู้เรียน อันจะนำไปสู่การบรรลุผลลัพธ์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ดังนี้
1.1.1 การประเมินผลระหว่างการเรียนการสอนเพื่อนำข้อมูลวางแผนพัฒนาผู้เรียนตามกระบวนการ PBL อย่างต่อเนื่อง (formative evaluation)
1.1.2 การประเมินผลลัพธ์การเรียนรู้ (summative evaluation) ตามที่กำหนด เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการแบบ PBL ได้แก่ 1) ความรู้ 2) ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบและการคิดอย่างมีวิจารณญาณ 3) ความสามารถในการแก้ปัญหา 4) ความสามารถในการทำงานเป็นทีม และ 5) ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง
1.2 ด้านครู/ผู้สอน จะมุ่งเน้นการประเมินประสิทธิภาพและคุณภาพของครู/ผู้สอนในบทบาทที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน
1.3 ด้านคู่มือการเรียนการสอนแบบ PBL
1.4 โจทย์ปัญหา/สถานการณ์ (Triggers)
2. วิธีการวัดและประเมินผล โดยทีมผู้ร่วมสอนต้องร่วมกำหนดวิธีการวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับรูปแบบ/กระบวนการเรียนรู้แบบ PBL ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะวิธีเชิงคุณภาพ : การสะท้อนคิด (Reflection) จากการมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้แบบ PBL ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในวิธีการที่ควรนำมาประยุกต์ใช้ ไม่ว่าจะรูปแบบการสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน หรือการเขียนการเรียนรู้ ภายใต้คำถามกระตุ้นหรือนำสู่กระบวนการสะท้อนคิด ทั้งนี้ วิธีการประเมินผลแบบการสะท้อนคิดนั้น จะช่วยให้ได้มาซึ่งข้อมูลเชิงคุณภาพที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุง/พัฒนากระบวนการเรียนรู้แบบ PBLและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน ผ่านการถ่ายทอดจากตัวผู้เรียนรายบุคคลสู่การรับรู้ของบุคคลอื่น ซึ่งการสะท้อนคิด ทั้งรูปแบบการเขียนและการพูด จะเป็นกิจกรรมที่ช่วยกระตุ้นให้นักศึกษา/อาจารย์/ผู้สอนได้ทบทวนและตระหนักรู้ในความรู้สึก ความคิดของตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการตระหนักรู้ดังกล่าว จะทำให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งในความเป็นไปของเหตุการณ์ ความเชื่อมโยงของเหตุการณ์ ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม อันจะนำไปสู่การพัฒนา/ปรับปรุงกระบวนการเรียนการสอนแบบ PBL ให้มีคุณภาพต่อไป
คณาจารย์ประจำภาควิชา
การพยาบาลเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ
ผู้ถอดบทเรียน
9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
โจทย์ปัญหา ครั้งที่ 1
สถานการณ์ “ทำไมคุณยายจึงล้ม”
พยาบาล ก. รับใหม่ผู้ป่วยสูงอายุ ขณะผู้ป่วยเดินมากับเจ้าหน้าที่ พยาบาล ก. เห็นว่าผู้ป่วยเดินมาเอง จึงหยิบเสื้อผ้าให้ และให้ไปเปลี่ยนในห้องน้ำ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดัง “โครม!” พยาบาล ก. จึงรีบไปดูในห้องน้ำ พบว่า ผู้ป่วยผู้สูงอายุล้มก้นกระแทกในห้องน้ำ ลุกเดินไม่ได้ พยาบาลสมศรี พยาบาลหัวหน้าตึก ทราบเรื่อง จึงถามพยาบาล ก. ว่าเพราะอะไร จึงไม่ประเมินสภาพผู้ป่วยก่อนที่จะให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำ รู้มั้ยคุณยายตามัว มองไม่ค่อยเห็น 11แบบแผนกอร์ดอนทำไมไม่ใช้ แล้วอย่างนี้จะใช้กระบวนการพยาบาลดูแลผู้ป่วยได้อย่างไร
แนวทางการตั้งคำถามจากโจทย์สู่การกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้สำหรับอาจารย์
ปัญหาจากโจทย์
(Cue recognition or problem) |
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
(Learning Objective) |
คำถามนำ
(Trigger Question) |
หลังจากผู้เรียนอ่านโจทย์ปัญหาจบ |
|
วิเคราะห์ Trigger มีข้อมูลใดบ้าง ที่เกี่ยวข้องกับการพยาบาล |
ผู้ป่วยผู้สูงอายุล้มก้นกระแทกใน
ห้องน้ำ ลุกเดินไม่ได้ |
1. การประเมินสภาพผู้ป่วยโดยใช้เครื่องมือ 11 แบบแผนสุขภาพ กอร์ดอน
- ความหมาย
- องค์ประกอบของแบบแผน
- · แบบแผนสุขภาพกอร์ดอน คือ อะไร
- · แบบแผนสุขภาพกอร์ดอน
|
มีทั้งหมดกี่แบบแผน อะไรบ้าง |
|
2. การใช้กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วย
2.1 ความหมาย ความสำคัญและแนวคิดของกระบวนการพยาบาล
2.2. ขั้นตอนของกระบวนการพยาบาล
- การประเมิน (Assessment)
- การวินิจฉัย (Diagnosis)
- การวางแผน (Planning)
- การปฏิบัติการพยาบาล (Nursing)
- การประเมินผล (Evaluation)
2.3 ลักษณะเชิงวิทยาศาสตร์และสังคมของกระบวนการพยาบาล
2.4 การบันทึก และการรายงาน |
- กระบวนการพยาบาลมีวิวัฒนาการมาอย่างไร
- กระบวนการพยาบาลคืออะไร
- กระบวนการพยาบาลมีประโยชน์มีความสำคัญอย่างไร
- กระบวนการพยาบาลกับวิทยาศาสต์สังคม มีความเหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่อย่างไร
- กระบวนการพยาบาลมีขั้นตอนอะไรบ้างและแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไร
|
แนวทางการระบุปัญหา วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา การตั้งสมมุติฐาน และกำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้สำหรับอาจารย์
ปัญหาจากโจทย์ |
สาเหตุของปัญหา |
สมมุติฐาน |
วัตถุประสงค์การเรียนรู้
(Learning Objective) |
ผู้ป่วยผู้สูงอายุล้มก้นกระแทกในห้องน้ำ
ลุกเดินไม่ได้ |
- ตามัว มองไม่เห็น
- พยาบาลไม่ประเมินสภาพผู้ป่วยก่อน
- พยาบาลไม่เห็นความสำคัญของการใช้เครื่องมือ 11 แบบแผนสุขภาพกอร์ดอน และกระบวนการพยาบาล
|
1. การประเมินสภาพผู้ป่วยโดยใช้ 11 แบบแผนสุขภาพกอร์ดอนก่อนปฏิบัติการพยาบาลจะช่วยป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในผู้ป่วย |
1. การประเมินสภาพผู้ป่วยโดยใช้เครื่องมือ
11 แบบแผนสุขภาพกอร์ดอน
- ความหมาย
- องค์ประกอบของแบบแผน
|
|
2. การใช้กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยจะทำให้การปฏิบัติการพยาบาลเป็นไปอย่างมีคุณภาพและบรรลุเป้าหมาย |
2. การใช้กระบวนการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วย
- แนวคิด
- ความหมาย
- ขั้นตอน
- วิวัฒนาการ
- ความสำคัญ/ประโยชน์
- ปัญหาในการใช้
|
โจทย์ปัญหา ครั้งที่ 2
สถานการณ์ที่ 1 “สุมาลีปวดไปหมด”
นางสุมาลี นาคเหล็ก อายุ 57 ปี น้ำหนัก 59 กิโลกรัม ส่วนสูง 146 เซนติเมตร มีอาการปวดกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ แขน เป็นระยะเวลา 7 เดือน รับการรักษาที่ คลินิคแพทย์ตลอด ได้รับยาแก้ปวดมารับประทาน พยาบาลพบผู้ป่วยจึงใช้ แบบแผนสุขภาพของกอร์ดอนมารวบรวมข้อมูลตามกระบวนการพยาบาล
สถานการณ์ที่ 2 “รุ่งยาสมุนไพร”
นายรุ่ง นาคเหล็ก อายุ 58 ปี น้ำหนัก 82 กิโลกรัม ส่วนสูง 169 เซนติเมตร มีอาการปวดข้อสะโพก ขาสองข้างเดินไม่เท่ากัน เป็นระยะเวลา 1 ปี รับการรักษาที่ คลินิคแพทย์ตลอด ได้รับยาแก้ปวดมารับประทาน ปัจจุบันรับประทานยาสมุนไพรบรรเทาอาการปวด พยาบาลพบผู้ป่วย จึงใช้ แบบแผนสุขภาพของกอร์ดอนมารวบรวมข้อมูลตามกระบวนการพยาบาล
สถานการณ์ที่ 3 “อำนวยหวานเบาๆ”
นายอำนวย ปานก้อม อายุ 56 ปี น้ำหนัก 95 กิโลกรัม ส่วนสูง 175 เซนติเมตร มีอาการปัสสาวะบ่อยบ้างบางครั้ง มึนศีรษะเวียนศีรษะบ้างบางครั้ง เป็นระยะเวลา 10 ปี รับการรักษาที่ โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ รับการรักษาโดยการฉีดยาตอนเช้าทุกวัน พยาบาลพบผู้ป่วย จึงใช้ แบบแผนสุขภาพของกอร์ดอนมารวบรวมข้อมูลตามกระบวนการพยาบาล
สถานการณ์ที่ 4 “ณัฐณิชาควบคุมอาหาร”
นางณัฐณิชา ปานก้อม อายุ 58 ปี น้ำหนัก 70 กิโลกรัม ส่วนสูง 152 เซนติเมตร มีอาการ ปวดมึนหัวบ้างบางครั้ง เป็นระยะเวลา 5 ปี รับการรักษาที่ โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ตลอด แพทย์ให้ควบคุมอาหาร พยาบาลพบผู้ป่วยจึงใช้แบบแผนสุขภาพของกอร์ดอนมารวบรวมข้อมูลตามกระบวนการพยาบาล
สถานการณ์ที่ 5 “แซวกระดูกเหล็ก”
นางล้วน แซงอ่วม อายุ 58 ปี น้ำหนัก 61 กิโลกรัม ส่วนสูง 156 เซนติเมตร มีอาการปวดหลังราวลงขา เคยประสบอุบัติเหตุ เป็นระยะเวลา 5 ปี รับการรักษาที่ โรงพยาบาลอุตรดิตถ์ แพทย์นัดทุก 3 เดือน พยาบาลพบผู้ป่วยจึงใช้แบบแผนสุขภาพของกอร์ดอนมารวบรวมข้อมูลตามกระบวนการพยาบาล
ข้อแนะนำสำหรับนักศึกษาในการเรียน PBL
1. ต้องคำนึงว่าชั่วโมง SDL ที่จัดไว้ให้ในตารางเรียน ไม่ใช่ชั่วโมงว่างที่ให้นักศึกษาไปปฏิบัติภารกิจหรือธุระส่วนตัว แต่เป็นเวลาเรียนที่จัดไว้ให้สำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือทบทวนความรู้ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของรายวิชานั้นๆ นักศึกษาจึงควรใช้เวลาดังกล่าวให้เหมาะสม ไม่ใช่ถือเป็นเวลาว่างสำหรับไปเที่ยวหรือไปทำธุระส่วนตัว
2. สิ่งที่นักศึกษาควรปฏิบัติในชั่วโมง SDL
2.1 ค้นคว้าหาความรู้จากตำรา วารสาร CAI VCD ฯลฯ ในห้องสมุด
2.2 ค้นคว้าหาความรู้จาก internet
2.3 นัดพบกันเองในกลุ่ม เพื่อประเมินความก้าวหน้าของงานที่ได้รับมอบหมายหรือช่วยกันทบทวนความรู้และข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่ไปศึกษามา
2.4 พบครูผู้เชี่ยวชาญเพื่อซักถามในหัวข้อที่ศึกษาแล้วไม่เข้าใจหรือมีข้อสงสัย โดยการประสานงานผ่านอาจารย์ประจำกลุ่มหรือผู้ประสานงานรายวิชา
2.5 พบอาจารย์ประจำกลุ่มกรณีที่เกิดปัญหาในการเรียนหรือเกิดความขัดแย้งในกลุ่ม แล้วมิอาจแก้ไขได้ด้วยตนเอง
3. เนื่องจากหนังสือและสื่อต่างๆมีไม่เพียงพอที่จะให้นักศึกษาทุกคนขอยืมไปศึกษาที่บ้านนอกเวลาได้ ดังนั้น จึงควรศึกษาร่วมกันเป็นกลุ่มในเวลาให้มากที่สุด
4. แหล่งวิทยาการที่ใช้ศึกษาหาความรู้ควรจะหลากหลาย ไม่ใช่จากการอ่านเอกสารประกอบการสอนหรือsheet ของครูเพียงอย่างเดียว หรืออ่านจากหนังสือเพียง 1-2 เล่มเท่านั้น แหล่งที่ให้ความรู้ควรมาจากหนังสือหลายเล่มหรือจากสื่อต่างๆที่ได้รับการประเมินว่ามีความน่าเชื่อถือและทันสมัย อาจมาจากการค้นคว้าทาง internet จากการถามผู้เชี่ยวชาญ การฝึกในห้องปฏิบัติการ เป็นต้น
บทบาทครูใน PBL
1.จะเปลี่ยนจากผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้หรือข้อมูลต่างๆให้แก่นักศึกษาโดยตรง มาเป็นผู้สนับสนุนหรือกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนบรรลุถึงเป้าหมาย (facilitator) และประเมินผลการเรียนรู้เป็นแหล่งการเรียนรู้ หรือแหล่งวิทยาการหนึ่งในการให้ความรู้
2. ช่วยให้นักศึกษาเรียนรู้โดยผ่านขั้นตอนทีละขั้น ไม่เรียนลัด เช่น ในการแก้ปัญหา ต้องมีการกล่าวถึงสมมุติฐาน หรือพยายามอธิบายสาเหตุให้หมดก่อนจะไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
3. ช่วยให้นักศึกษาเกิดความเข้าใจในเรื่องที่เรียนได้อย่างลึกซึ้ง สามารถดึงความรู้ ความคิดที่ซ่อนอยู่ในใจออกมาได้
4. กระตุ้นให้นักศึกษาอภิปรายโต้ตอบกันเอง โดยครูไม่ทำตัวเป็นศูนย์กลางของการโต้ตอบ
5. ช่วยให้ทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรมของกลุ่ม ป้องกันไม่ให้คนที่พูดเก่งทำตัวเด่นในกลุ่มมากไป ไม่ปล่อยให้คนไม่ช่างพูดถอนตัวจากกลุ่ม
6. ปรับเปลี่ยนสภาพการเรียนการสอนไม่ให้เกิดความเบื่อหน่ายเมื่อปัญหาง่ายไป หรือท้อแท้เมื่อปัญหายากไป
7. ต้องดูแลความก้าวหน้าของนักศึกษาทุกคนในกลุ่มฝึกให้รู้จักประเมินตนเอง และช่วยกันเองในกลุ่มเมื่อมีปัญหาการเรียนรู้เกิดขึ้น
8. ทำความรู้จักกับกลุ่มเป็นอย่างดี เมื่อเกิดปัญหาพฤติกรรมกลุ่มทำให้กลุ่มไม่ก้าวหน้า ครูต้องพยายามทำให้กลุ่มตระหนักและหาทางแก้ไขด้วยความสามารถของกลุ่มเองไม่ใช่ครูลงไปแก้ไขให้แต่แรกโดยตรง
สิ่งสำคัญที่ครูต้องมี
1.ความสามารถในการตั้งคำถามในกลุ่มเพื่อให้นักศึกษารู้จักคิด (เน้นคำถามปลายเปิดเพื่อกระตุ้นให้เกิดการอภิปราย)
2.หลีกเลี่ยงคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับการอภิปราย
ตัวอย่างลักษณะของคำถาม
1. ถามกระตุ้นให้ใช้เหตุผล
– คุณกำลังอยากจะค้นหาอะไร
– มีเหตุผลอย่างไรจึงตั้งคำถามเช่นนั้น
– ถ้าได้คำตอบแล้ว จะทำให้การแก้ปัญหาแตกต่างไปจากเดิมหรือเปล่า
2. ถามกระตุ้นให้ผู้เรียนตั้งสมมุติฐาน / เหตุใดจึงตั้งสมมุติฐานเช่นนั้น / ประเมินค่าของสมมุติฐานที่ตนตั้งขึ้นมา
- คุณคิดว่าอะไรน่าจะเป็นสาเหตุได้บ้าง
- คุณมีเหตุผลอะไรในการตั้งสมมุติฐานเช่นนั้น
- จะใช้หลักฐานอะไรมาพิสูจน์เพื่อยอมรับหรือปฏิเสธสมมุติฐาน
3. ถามกระตุ้นให้ผู้เรียนคิดถึงความเชื่อมโยงของเรื่องต่าง ๆ
-ข้อมูลที่ได้รับมานี้เกี่ยวข้องกับปัญหาอย่างไร
-ความสัมพันธ์ระหว่าง………กับ……….เป็นอย่างไร
4. ถามเพื่อช่วยในการอภิปรายต่อเนื่องและตรงเป้า
-ใครช่วยสรุปเรื่องเท่าที่พูดกันมาแล้วได้หรือไม่
-เราจะทำอะไรกันต่อไปสำหรับกรณีนี้
5. ถามเพื่อเน้นกลไกและสาเหตุของปัญหา
-กระบวนการอะไรที่ทำให้เกิดปัญหานี้
-กลไกอะไรที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้
6. ถามให้อธิบาย/ให้คำจำกัดความของบางคำที่ใช้
-…………หมายความว่าอย่างไร
-ระดับของเอ็นซัยม์ตัวนี้ในเลือดหมายความว่าอย่างไร
7. เน้นการใช้คำถามปลายเปิดมากกว่าใช่หรือไม่
8. แทนการตอบคำถาม ใช้วิธีป้อนคำถามกลุ่มต่อ
-ใครจะตอบคำถามนี้ได้บ้าง
-เราจะพยายามหาหนทางตอบคำถามนี้อย่างไร
-คำตอบของคำถามนี้จะช่วยให้แก้ปัญหาได้อย่างไร
9. ถามกระตุ้นให้ผู้เรียนปรับปรุงการเสนอรายงาน
-ช่วยย่อหรือสรุปเรื่องที่เสนอมาทั้งหมดได้ไหม
-จะพูดอย่างไรให้ชัดเจนกว่านี้
-ลองปรับปรุงคำพูดใหม่ซิ เพื่อให้คนอื่น ๆ เข้าใจความคิดของคุณ
บทบาทครูในการประเมินผล
1. Formative evaluation การประเมินความก้าวหน้าของนักศึกษาเป็นระยะตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ หาข้อมูลว่าผู้เรียนมีความสามารถและมีจุดอ่อนในการเรียนรู้อย่างไรบ้าง เพื่อให้เกิดการปรับปรุงแก้ไข
2. Summative evaluation ตัดสินว่าผู้เรียนได้เรียนรู้ถึงระดับมาตรฐานที่สมควรผ่านไปศึกษา Block ต่อไปหรือเลื่อนไปเรียนในปีถัดไปได้หรือไม่
Formative evaluation
1.ขั้นตอนที่1-5 (ทำความเข้าใจกับศัพท์-สร้างวัตถุประสงค์)
-สังเกตพฤติกรรมนักศึกษาว่ามีบทบาทอย่างไรต่อกลุ่ม ส่งเสริม หรือ ขัดขวางการดำเนินงานกลุ่ม ให้การ feedback
2.ขั้นตอนที่ 7 (สังเคราะห์ที่ได้มาใหม่)
-ประเมินความสามารถในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองของนักศึกษา โดยเปรียบเทียบความรู้ของนักศึกษาก่อนและหลังการไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
-กระตุ้นให้มี Self assessmentและ Peer assessment
กิจกรรมหลักในกระบวนการกลุ่ม
1. การแนะนำตัว ทั้งนักศึกษาและครูควรแนะนำตนเองให้สมาชิกแต่ละคนได้รู้ภูมิหลังด้านความรู้ ความชำนาญประสบการณ์เดิม
2. การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ นักศึกษาควรกล้าพูด กล้าแสดง ยอมรับในสิ่งที่ตนไม่รู้หรือเข้าใจผิด ให้การวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ และยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างสงบและไตร่ตรอง
3. ความรับผิดชอบต่อกระบวนการกลุ่ม นักศึกษาต้องรู้ว่าตนมีหน้าที่รับผิดชอบต่อการดำเนินงานของกลุ่ม เมื่อเกิดปัญหาต้องช่วยกันแก้ไข ต้องมีการประเมินผลการทำงานของตนและเพื่อนอย่างเปิดเผยและสร้างสรรค์
4. การดำเนินการตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ สมาชิกกลุ่มต้องร่วมกันตัดสินใจไว้ก่อนว่าอะไรคือวัตถุประสงค์การเรียนรู้ และต้องดำเนินการตามวัตถุประสงค์
5.กิจกรรมของกลุ่มในการแก้ปัญหา
ระยะที่ 1 การวิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางแก้ไขโดยการใช้ความรู้เดิมของสมาชิกกลุ่ม ต้องฝึกคิดให้เป็นขั้นเป็นตอน ตั้งแต่ รวบรวมข้อมูล ระบุปัญหา วิเคราะห์ปัญหา ตั้งสมมุติฐาน วิเคราะห์ข้อมูลให้สอดคล้องกับสมมุติฐาน
ระยะที่ 2 การเรียนรู้โดยการกำกับตนเอง (SDL) สิ่งสำคัญ คือ ถ้ามีการแบ่งหัวข้อไปศึกษา นักศึกษาควรเลือกหัวข้อที่ตนอ่อนหรือไม่ถนัด เพื่อพัฒนาตนเอง และในแต่ละโจทย์ปัญหาควรเปลี่ยนหัวข้อหรือสาขาวิชาที่ศึกษาไปเรื่อยๆ แหล่งวิทยาการที่เลือกควรหลากหลายและทันสมัย
ระยะที่ 3 การนำความรู้ใหม่ที่ได้เรียนมาใช้ในการแก้ปัญหา สิ่งแรกในขั้นตอนนี้ คือ การวิจารณ์ทรัพยากรการเรียนรู้ (แหล่งเรียนรู้) แล้วจึงนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา เปรียบเทียบความรู้เดิมกับอันใหม่ที่ได้มา
ข้อควรระวัง อย่าให้เกิดเป็นการบรรยายหรือโชว์รายละเอียดของเนื้อหาในกลุ่มย่อย จะต้องให้เป็นการประยุกต์ความรู้ โดยช่วยกันพิจารณาว่าได้ความรู้ใหม่มาแล้ว จะเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขปัญหาตรงจุดไหนได้บ้าง
ระยะที่ 4 การประเมินผลการเรียนรู้ เมื่อเสร็จสิ้นการแก้ปัญหา กลุ่มควรมีการประเมินตนเอง รวมทั้งให้เพื่อนๆประเมินตนในหัวข้อ :
ทักษะการใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา
ความรู้ที่ได้จากโจทย์ปัญหาที่เรียน
ทักษะในการเรียนรู้โดยการกำกับตนเอง
ความร่วมมือและสนับสนุนในกระบวนการกลุ่ม
นอกจากนี้ควรมีการประเมินการทำงานของกลุ่มในภาพรวมมีข้อบกพร่องอย่างไรจะแก้ไขอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
หน้าที่ของประธานกลุ่ม
1.เป็นผู้เริ่มหรือนำการอภิปราย
2.กระตุ้นให้สมาชิกกลุ่มทุกคนได้แสดงความคิดเห็นและอภิปราย
3.ควบคุมดูแลให้กระบวนการอภิปรายเป็นไปตามขั้นตอน
4.คอยจับประเด็นที่สมาชิกกลุ่มอภิปราย และสรุป
5.ควบคุมและรักษาเวลาให้เป็นไปตามที่กำหนด
6.ดูแลให้ผลของกระบวนการกลุ่มเป็นไปตามวัตถุประสงค์
หน้าที่ของเลขากลุ่ม
1.ช่วยประธานจับประเด็นที่สมาชิกกลุ่มอภิปราย และสรุป
2.บันทึกประเด็นที่สำคัญๆให้กับกลุ่ม
กำหนดการเรียน
วันที่ 1 กันยายน 2560 เวลา 09.00 – 11.00น. ปฐมนิเทศการเรียน และเปิดโจทย์ปัญหา ครั้งที่ 1
วันที่ 8 กันยายน 2560 เวลา 09.00 – 11.00น. ปิดโจทย์ ครั้งที่ 1 นำเสนอสรุปเรื่องกระบวนการพยาบาล
และ11 แบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน เปิดโจทย์ ครั้งที่ 2
วันที่ 15 กันยายน 2560 เวลา 09.00 – 11.00น. สัมภาษณ์กรณีศึกษา และนำข้อมูลมาปรึกษาพูดคุยกัน
วันที่ 22 กันยายน 2560 เวลา 09.00 – 11.00น. ประชุมปรึกษา นำเสนอข้อมูล 11 แบบแผนสุขภาพของ
กอร์ดอนและวางแผนการพยาบาลตามกระบวนการพยาบาล
วันที่ 29 กันยายน 2560 เวลา 09.00 – 11.00น. ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง