รายงานการประชุม

การจัดการความรู้เรื่อง การเขียนบทความวิชาการเพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่

ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑

วันพุธที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๒  ณ ห้องประชุมอังศนา ชั้น ๓ อาคาร ๑๐๐ ปี การสาธารณสุขไทย

วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี อุตรดิตถ์

รายชื่อผู้เข้าประชุม

๑.  นางอนัญญา คูอาริยะกุล                 รองผู้อำนวยการกลุ่มงานวิชาการ

๒.  นางประภาพร มโนรัตน์                  พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ

๓.  นางสาววราภรณ์ ยศทวี                  พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ

๔.  นางสาวอัญชรี เข็มเพชร                 พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ

๕.  นายบุญฤทธิ์ ประสิทธิ์นราพันธุ์                   พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ

๖.  นางวาสนา ครุฑเมือง                    พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ

๗.  นางสาวสิตานันท์ ศรีใจวงศ์              พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ

๘. นางสาวอลิษา ทรัพย์สังข์                 พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ

๙. นางดาราวรรณ บุญสนธิ                  พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ

๑๐. นางจิราพร ศรีพลากิจ                   พยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการ

๑๑. นายนพรัตน์ สวนปาน                   พยาบาลวิชาชีพ

๑๒. นางสาวณัฎฐ์ฌาฑ์ สร้อยเพ็ชร           พยาบาลวิชาชีพ

๑๓. นายอดุลย์ วุฒิจูรีพันธุ์                   เลขานุการ

รายชื่อผู้ไม่เข้าร่วมประชุม

๑.  นางวิมล อ่อนเส็ง                         พยาบาลวิชาชีพชำนาญการพิเศษ (ไปราชการ)

ร้อยละของจำนวนผู้เข้าประชุม ๙๒.๘๕

ประธานที่ประชุม นางอนัญญา คูอาริยะกุล

เปิดประชุมเวลา ๑๓.๐๐ น.

ระเบียบวาระที่ ๑   เรื่องแจ้งเพื่อทราบ

ประธานแจ้งเรื่องสืบเนื่องจากระบบการประกันคุณภาพการศึกษาตามเกณฑ์ สกอ.กำหนดให้วิทยาลัยพยาบาลในสังกัดพระบรมราชชนกดำเนินการเรื่องการจัดการความรู้ โดยในปีการศึกษา ๒๕๖๑ คณะกรรมการบริหารวิทยาลัยบรมราชชนนีอุตรดิตถ์ กำหนดประเด็นจัดการความรู้ที่ครอบคลุมการจัดการเรียนการสอนและการวิจัย โดยให้อาจารย์แต่ละคนเลือกประเด็นการจัดการความรู้ตามความสนใจ  การจัดการความรู้เรื่อง “การเขียนบทความวิชาการเพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่” ถือว่าเป็นประเด็นหนึ่ง

ประธานทบทวนความรู้เกี่ยวกับการจัดการความรู้ เพื่อใช้ในการดำเนินงานพัฒนานักศึกษา กลุ่มงานกิจการนักศึกษา ใช้กระบวนการจัดการความรู้ ๗ ขั้นตอน มาประกอบใช้การจัดทำ KM ดังนี้

๑.การบ่งชี้ความรู้ เป็นการพิจารณาว่ากลุ่มงาน มีวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ เป้าหมายคืออะไร และเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เราจำเป็นต้องใช้ความรู้อะไร ขณะนี้เรามีความรู้อะไรบ้างอยู่ในรูปแบบใดและอยู่ที่ใคร โดยคณะกรรมการบริหารวิทยาลัยฯได้กำหนดประเด็นบ่งชี้ความรู้ที่องค์กรจำเป็นต้องมีและวิเคราะห์รูปแบบและแหล่งความรู้ที่มีอยู่ โดยความรู้ที่จำเป็นขององค์กรเป็นเรื่องการเขียนบทความวิชาการเพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่

๒.การสร้างและแสวงหาความรู้ เป็นการรวบรวม/สกัดความรู้ ทั้งความรู้ชัดแจ้ง (Explicit  Knowledge) จากเอกสาร หรือความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) ที่อยู่ในตัวบุคคลจากภายในและ/หรือภายนอก โดยอาศัยเครื่องมือ/วิธีการต่างๆ ในการสร้างและแสวงหาความรู้ที่เหมาะสม เช่น การรวบรวมกฎระเบียบ คู่มือ มาตรฐานการปฏิบัติงาน การถอดความรู้จากตัวบุคคล เช่น การประชุมระดมสมอง การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญ การถอดบทเรียนหลังการปฏิบัติงาน เป็นต้น โดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับวิทยากร เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๒

๓.การจัดความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการวางโครงสร้างความรู้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเก็บความรู้ อย่างเป็นระบบในอนาคต โดยมอบหมายให้อาจารย์อดุลย์ วุฒิจูรีพันธุ์ ผู้รับผิดชอบงานจัดการความรู้ดำเนินการแบ่งชนิดและประเภทของความรู้ เพื่อจัดทำระบบให้ง่ายและสะดวกต่อการค้นหาและใช้งาน     เรื่อง การเขียนบทความวิชาการเพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่(ทบทวน) เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในกำหนดแนวทางการเขียนบทความวิชาการต่อไป

๔.การประมวลและกลั่นกรองความรู้ เป็นการปรับปรุงรูปแบบเอกสารให้เป็นมาตรฐานปรับปรุง เนื้อหาให้สมบูรณ์ จากการประชุมพิจารณาร่วมกัน หรือตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญในองค์ความรู้นั้น และจัดทำรูปแบบและ “ภาษา” ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งองค์กร รวมทั้งเรียบเรียงปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัย และตรงกับความต้องการ

๕.การเข้าถึงความรู้ เป็นการทำให้ผู้ใช้ความรู้เข้าถึงความรู้ที่ต้องการได้ง่ายและสะดวก เช่น ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) Web board บอร์ดประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๒

๖.การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ มีเครื่องมือหลากหลาย ประเภทถูกสร้างขึ้นมาเพื่อนำไปใช้ในการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ และกรกฎาคม ๒๕๖๒

๗.การเรียนรู้ ควรทำให้การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของงาน เป็นการนำความรู้ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนไปใช้ประโยชน์ในการทำงานเพื่อแก้ปัญหา ปรับปรุง หรือพัฒนางาน เพื่อให้ดีขึ้นกว่าเดิม เมื่อปฏิบัติตามแล้วมีปัญหาตรงไหน มีจุดที่ต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไร ผู้ปฏิบัติก็แจ้งข้อมูลป้อนกลับ (Feedback) เพื่อให้กลุ่มงานนำไปพิจารณา ปรับปรุงงาน เกิดระบบการเรียนรู้ สร้างองค์ความรู้ นำความรู้ไปใช้ เกิดการเรียนรู้มีประสบการณ์ใหม่ๆ และหมุนเวียนต่อไปอย่างต่อเนื่อง ในช่วงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๒

มติที่ประชุม รับทราบ

ระเบียบวาระที่ ๒  รับรองรายงานการประชุม

-

ระเบียบวาระที่ ๓  เรื่องสืบเนื่อง

-

ระเบียบวาระที่ ๔ เรื่องหารือที่ประชุม

การกำหนดแนวปฏิบัติ “การเขียนบทความวิชาการเพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่”  มีประเด็นดังนี้

๔.๑ ขั้นตอนการเตรียม

สิตานันท์ เสนอประเด็น “การเขียนแนวปฏิบัติการเขียนบทความวิชาการเพื่อตีพิมพ์และเผยแพร่ ในขั้นตอนแรกการเลือกเรื่องหรือประเด็นไม่ต้องระบุรายละเอียดเช่น ความสนใจ ความเชี่ยวชาญ และความทันสมัย ซึ่งจะเขียนในคำอธิบายประกอบการใช้แนวปฏิบัติไว้แล้ว”

มติที่ประชุม ดังนี้

๔.๑.๑ การเลือกเรื่องหรือประเด็น ควรตรงกับความรู้ ความเชี่ยวชาญ ความสนใจของผู้เขียน มีความทันสมัย อยู่ในขอบข่ายที่สามารถศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมได้ง่าย เพื่อให้สามารถสอดแทรกความคิดเห็นของผู้เขียนได้อย่างเหมาะสม และควรมีการทบทวนเรื่องหรือประเด็นที่จะเขียนจากแหล่งเผยแพร่ต่างๆว่ามีการเสนอในแง่มุมใดบ้าง  มีแง่มุมใดที่ยังไม่มีการกล่าวถึง ซึ่งผู้เขียนจะสามารถหยิบยกมากล่าวถึงเพื่อชี้นำว่ามีความสำคัญและน่าสนใจ

๔.๑.๒ การกำหนดวัตถุประสงค์การเขียนบทความวิชาการ ควรตอบคำถามตามหลัก W ๑ H ในการกำหนดทิศทางของการเขียนและรูปแบบการนำเสนอ ประกอบด้วย Who   “จะเขียนให้ใครอ่าน” เพื่อทราบกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้วิเคราะห์ความต้องการ คุณค่าหรือประโยชน์  ที่ผู้อ่านจะได้รับ  What “จะเขียนเรื่องอะไร”  Where “จะเขียนเพื่อเผยแพร่ที่ไหน” เพื่อคัดเลือกวารสารที่จะเผยแพร่พร้อมทั้งทบทวนแนวทางการเขียน  ศึกษาแนวทางและเทคนิคการเขียนให้สอดคล้องกับรูปแบบวารสารนั้นๆ When “เวลาที่จะนำบทความลงเผยแพร่เมื่อใด” เพื่อพิจารณาช่วงเวลาที่นำเสนอที่ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน Why “จะนำเสนอเรื่องนี้ไปทำไม”เพื่อทบทวนวัตถุประสงค์ของผู้เขียนต้องการให้เกิดอะไร How “จะนำเสนอเรื่องนี้อย่างไร” (ซึ่งมีรายละเอียดในขั้นตอนการเขียนโครงเรื่อง) โดยแต่ละคำตอบจะมีความเชื่อมโยง สอดคล้องและต่อเนื่องกันเพื่อผู้เขียนจะไม่ได้หลงประเด็น

๔.๑.๓ การเขียนโครงเรื่องของบทความวิชาการ ควรจัดลำดับความคิดให้เป็นหมวดหมู่ หรือเป็นขั้นตอนตามลำดับความสำคัญ และมีความสัมพันธ์ของเนื้อหา เพื่อให้มีขอบเขตของเรื่อง ที่ชัดเจน ครบถ้วนและไม่ซ้ำซ้อนกัน ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้

๑) ค้นคว้าและรวบรวมข้อมูล เป็นการรวบรวมเนื้อหาทั้งที่เป็นความรู้  ข้อเท็จจริง และประสบการณ์ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะเขียนจากแหล่งข้อมูลต่างๆที่หลากหลาย เช่น หนังสือ  บทความ  วารสาร ข้อมูลการสัมภาษณ์  การสังเกต เป็นต้น หลังจากนั้นใช้วิธีการบันทึกข้อมูลแบบสรุปความ หรือสังเคราะห์

๒) จัดหมวดหมู่ประเด็น เป็นการวิเคราะห์แนวคิดหรือประเด็นที่จะเขียนบทความวิชาการให้กระจ่าง โดยการแยกแยะประเด็นในแง่มุมต่างๆตามแนวคิดเดียวกันหรือใกล้เคียงกันให้อยู่พวกเดียวกัน หรือกำหนดขอบเขตเป็นหัวข้อหลัก หัวข้อย่อย โดยอาจเขียนในรูปแบบผังมโนทัศน์ (concept  mapping)

๓) จัดลำดับความคิดให้เป็นระบบตามวิธีการต่างๆ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตามลำดับ เช่นจากประเด็นที่กว้างๆหรือทั่วไปสู่เรื่องประเด็นเฉพาะ  จากเรื่องเฉพาะไปสู่เรื่องกว้างๆ   ตามความสำคัญของเนื้อหาลดหลั่นลงมา  ตามเหตุการณ์หรือระยะเวลาตามลำดับการเกิดก่อน-หลัง  ตามการตั้งประเด็นคำถาม แล้วตอบคำถาม ขยายความ ยกตัวอย่าง ทีละประเด็น  ทั้งนี้ขึ้นวิธีการลำดับเนื้อหาขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การเขียนและขอบเขตเนื้อหา

๔.๒ ขั้นตอนการลงมือเขียนบทความ

อ.อลิษา เสนอประเด็น “ปัญหาที่พบจากการเขียนบทความในรอบปีที่ผ่านมา ยังคุ้นชินกับการรายงาน ทำให้ไม่มีความสอดคล้องของเนื้อหาของผู้เขียน”

อ.จิราพร เสนอประเด็น “ปัญหาคล้ายคลึงกันคือเขียนแล้ว เมื่อให้คนอื่นมาอ่านพบว่าภาษาที่ใช้ไม่ต่อเนื่อง”

มติที่ประชุม ดังนี้

ควรประกอบด้วย ๓ ส่วนคือ ส่วนนำ เนื้อหา และส่วนท้าย โดยในแต่ละส่วนของบทความควรมีความสอดคล้อง ต่อเนื่องกันในการเขียน (อาจให้ผู้รู้หรืออาจารย์ท่านอื่นช่วยอ่านเพื่อดูความเข้าใจและความต่อเนื่องในการเขียน)

๔.๓ ขั้นตอนการตีพิมพ์

อ.ณัฎฐ์ฌาฑ์ เสนอประเด็น “ตอนนี้อยู่ระหว่างการ edit บทความวิชาการของ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพฯ ปัญหาที่พบในช่วงแรกคือขั้นตอนการส่งบทความทาง Journals Online (ThaiJo)”

อ.อดุลย์ เสนอประเด็นเพิ่มเติมเช่นกันว่า “ยังขาดความเข้าใจขั้นตอนการรับ-ส่งบทความตีพิมพ์ ทาง Journals Online (ThaiJo)”

มติที่ประชุม ดังนี้

๔.๓.๑ ศึกษาเงื่อนไขของแหล่งตีพิมพ์ เผยแพร่ ได้แก่ ความยาวของเนื้อหา  อักษรที่พิมพ์  รูปแบบอ้างอิง   ค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์   ระยะเวลาของกระบวนการพิจารณากลั่นกรองโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ จากวารสาร หรือเว็บไซต์ของวารสาร เช่น APA หรือ Vancouver เป็นต้น

๔.๓.๒  ขั้นตอนการส่งตีพิมพ์/เผยแพร่ ส่งผ่านฐานข้อมูล Journals Online (ThaiJo) ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลวารสารอิเล็กทรอนิกส์กลางของประเทศไทย

ระเบียบวาระที่ ๕ เรื่องอื่นๆ

-

ปิดการประชุมเวลา ๑๕.๐๐ น.

นัดประชุมครั้งต่อไป :  -

ลงชื่อ  ………………………………………………..

(นายอดุลย์  วุฒิจูรีพันธุ์)

บันทึกรายงานการประชุม

ลงชื่อ   ……………………………………………………

(นางอนัญญา  คูอาริยะกุล)                              ตรวจรายงานการประชุม